กรณีศึกษา

โครงการปทุมวัน Zero Waste: เครือข่ายการจัดการขยะในกรุงเทพมหานคร ช่วยลดขยะเศษอาหารมากกว่า 2,000 ตัน

เขตปทุมวัน ใจกลางกรุงเทพมหานคร ที่มีจำนวนประชากรต่ำที่สุดเป็นอันดับ 3 เพียง 40,844 คน แต่ในปี 2565 กลับสร้างปริมาณขยะมูลฝอยถึง 75,549 ตัน/ปี หรือ 207 ตัน/วัน เท่ากับว่าประชากร 1 คน สร้างขยะมูลฝอยมากถึงวันละ 5 กิโลกรัม พุ่งสูงเป็นอันดับ 1 ของกรุงเทพมหานคร ในขณะที่ค่าเฉลี่ยของคนกรุงเทพมหานคร สร้างขยะเพียง 1.5 กิโลกรัมต่อวันเท่านั้น สาเหตุที่ทำให้ประชากรในเขตปทุมวันต้องแบกรับขยะเป็นอันดับหนึ่ง เนื่องจากในเขตนี้มีสถานศึกษาขนาดใหญ่ทั้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งมีจำนวนบุคคลากรและนิสิตมากกว่าจำนวนประชากรในทะเบียนบ้าน อีกทั้งมีศูนย์การค้าขนาดใหญ่ที่รองรับนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศ เช่น ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์มีผู้ใช้บริการสูงถึง 150,000 คนต่อวัน และยังมีพนักงานที่เข้ามาทำงานในสำนักงานต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่ในเขตนี้ สะท้อนให้เห็นว่า ในแต่ละวัน เขตปทุมวันมีผู้คนจำนวนมหาศาลแวะเวียนเข้ามาใช้ประโยชน์และพร้อมสร้างขยะทิ้งเอาไว้ ซึ่งจำเป็นต้องมีการจัดการเพื่อลดจำนวนขยะที่เกิดขึ้นเป็นจำนวนมากในเขตนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งขยะอินทรีย์ที่มีมากถึงร้อยละ 50 และเป็นแหล่งกำเนิดที่สำคัญของแก๊สมีเทน หนึ่งในแก๊สเรือนกระจกที่สำคัญ ต้นตอของภาวะโลกรวน

ภายในพื้นที่ 1 ตารางกิโลเมตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประกอบด้วยไปนิสิต 38,000 คน และ บุคลากร 3,040 คน จำนวนอาคารมีมากถึง 217 อาคาร ทำให้เป็นแหล่งกำเนิดขยะแหล่งใหญ่แห่งหนึ่งในเขตปทุมวัน แต่การดำเนินโครงการ การจัดการขยะภายในมหาวิทยาลัย Chula Zero Waste ที่ดำเนินมาเป็น 7 ปี ซึ่งเป็นการจัดการตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง โดยอาศัยหลักสำคัญคือ “การจัดการขยะอย่างยั่งยืน (Waste Hierarchy)” ผ่านนโยบายและปรับสิ่งแวดล้อมโดยรอบเพื่อสนับสนุนให้เกิดการลดและแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง เช่น มาตรการลดขยะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง แคมเปญ การสื่อสาร การติดตั้งตู้กดน้ำ จุดแยกขยะที่เป็นระบบเดียวกันทั้งมหาวิทยาลัย พัฒนาการเก็บขนและกำจัดขยะแต่ละประเภทแยกกัน เพราะแต่ละประเภทจะมีปลายทางที่เหมาะสมแตกต่างกัน เช่น เศษอาหารที่ยังไม่ปรุงสุกนำไปเข้าเครื่องแปลงเป็นสารปรับปรุงดินภายใน 24 ชั่วโมง ส่วนอาหารที่เหลือจากการกินจะมีเกษตรกรมารับไปเป็นอาหารสัตว์ ขยะที่ขายได้จะถูกแยกมาขาย เพื่อให้เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล ขยะพลาสติกอื่น ๆ ที่มีสัดส่วนที่เยอะมากและเป็นปัญหาเนื่องจากไม่สามารถกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้จะนำไปใช้เป็นพลังงานทดแทนในการผลิตปูนซีเมนต์ ส่วนขยะอันตราย (แบตตารี่ หลอดไฟ เป็นต้น) หน้ากากอนามัย จะถูกรวบรวมและส่งกำจัดอย่างเหมาะสมเช่นกัน กระบวนการต่าง ๆ เป้าหมายลดปริมาณขยะที่จะถูกส่งไปหลุมฝังกลบให้เหลือน้อยที่สุด จากกระบวนการทำงานภายใต้หลักการ Waste Hierarchy ทำให้ที่ผ่านมาเราสามารถลดขยะและเปลี่ยนขยะให้เป็นประโยชน์ได้มากถึง 55.26% (ปี 2022)

จากการพัฒนาการทำงานของโครงการภายในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สามารถเปิดให้เป็นแหล่งข้อมูล (ให้คำปรึกษา) แหล่งเรียนรู้สำหรับองค์กรต่าง ๆ ที่สนใจ โดยระหว่าง ม.ค. – ต.ค. 66 มีหน่วยงานเข้ามา 21 หน่วยงาน สำหรับการผลักดันในภาพที่ใหญ่ขึ้นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้เป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนการจัดการขยะของกรุงเทพฯ ในการนำข้อเสนอนโยบายให้กับผู้ว่าฯ กทม. ร่วมกับภาคีสิ่งแวดล้อม จนเกิดเป็นโครงการ “ไม่เทรวม” ซึ่งเป็นการรณรงค์ให้ประชาชนแยกทิ้งเศษอาหารออกจากขยะทั่วไปเพื่อให้เขตจัดเก็บไปจัดการต่อ (ทำปุ๋ย) อีกทั้งได้ทำงานร่วมกับเขตปทุมวัน ในการจัดระบบการจัดเก็บขยะเพื่อให้สอดคล้องกับการเข้าไปผลักดันให้แหล่งกำเนิดในเขตปทุมวัน จำนวนมากกว่า 48 แห่ง มีระบบการลดและแยกขยะตั้งแต่ต้นทางภายในแหล่งกำเนิด ร่วมกับภาคีสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ผ่านโครงการ “BKK Zero Waste:ต่อยอดโครงการไม่เทรวม” นอกจากนี้การทำงานที่มุ่งมั่นและจริงจังของจุฬาฯ ยังส่งแรงกระตุ้นให้ภาคเอกชนอีกหลายที่เข้ามาร่วมมือในการผลักดันให้เกิดโครงการ “ปทุมวัน Zero Waste” โดยที่นอกจากภาคเอกชนมีระบบการจัดการขยะภายในแหล่งกำเนิดของตัวเอง ยังออกไปช่วยชุมชนรอบ ๆ ให้เกิดการจัดการขยะที่ดีขึ้นอีกด้วย ทำให้ใน 7 เดือนที่ผ่านมาประสิทธิภาพในการลดและแยกขยะภายในเขตเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะขยะเศษอาหารที่แยกออกมาและจัดการอย่างเหมาะสมมีจำนวน 2,148 ตัน ซึ่งถ้าหากขยะเศษอาหารเหล่านี้ปะปนกับขยะอื่น จะสามารถก่อให้เกิดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึงประมาณ 5,456 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า นอกจากนี้ โครงการดังกล่าวทำให้ผู้คนที่เข้ามาใช้ชีวิตในเขตปทุมวันเปลี่ยนพฤติกรรมการทิ้งขยะ ให้หันมาแยกขยะก่อนทิ้ง และพร้อมนำติดตัวไปปฏิบัติเมื่อกลับไปพักอาศัยในพื้นที่ทั่วกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ขยายผลลัพธ์ของโครงการออกไปอย่างอัตโนมัติ

ที่มา

  • โครงการ Chula Zero Waste
  • สถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • สำนักบริหารระบบกายภาพ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

รายละเอียดที่เกี่ยวข้อง:

อื่นๆ

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย: สานพลังความร่วมมือเพื่อสุขภาวะที่ดีของโลก

ในโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทายด้านสุขภาพ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยืนหยัดเป็นประภาคารแห่งความหวัง ด้วยการทุ่มเทขับเคลื่อน เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG) ข้อที่ 3 ขององค์การสหประชาชาติ—สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของทุกคน ผ่านเครือข่ายความร่วมมือที่ทอดยาวจากชุมชนท้องถิ่นสู่เวทีโลก

ธนาคารปูม้า เกาะสีชัง ต้นแบบศูนย์เรียนรู้เพิ่มทางรอดปูม้าไทยคืนสู่ท้องทะเล

เมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2563 มีชาวประมงที่จับปูม้าที่ท้องนอกกระดองมาให้ ศูนย์เรียนรู้ธนาคารปูม้าบนบก อำเภอเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี เป็นจำนวน 457 ตัว เพื่อเพาะเป็นลูกปูม้า ศูนย์สามารถดูแลปูไข่จนลูกปูม้าถึง 565,219,724 ตัว และแม้ลูกปูม้าจะมีเปอร์เซนต์รอดชีวิตที่ 40-60% ศูนย์ก็ยังสามารถเอาลูกปูม้าไปปล่อยในทะเลได้มากเกินกว่า

CU-PIG FARMING: โรงเรียนสาธิตการเลี้ยงสุกร เปิดทางเลือกใหม่ของเกษตรกรในจังหวัดน่าน

จังหวัดน่านประสบปัญหาผลผลิตทางการเกษตรไม่เพียงพอต่อการบริโภคภายในจังหวัด ส่งผลให้ต้องพึ่งพาการนำเข้าสินค้าเกษตรจากที่อื่น โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ที่มีโปรตีนสูง เช่น เนื้อสุกร เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนทางด้านอาหาร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงริเริ่มโครงการเพื่อเพิ่มผลผลิตเนื้อสุกร เพื่อสนับสนุนการดำรงชีวิตอย่างยั่งยืนของเกษตรกรในท้องถิ่น

เปิดภารกิจเครือข่ายมหาวิทยาลัยผู้พิทักษ์ผืนป่าชุ่มน้ำลุ่มน้ำโขง

ระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำทั่วโลก มีความสำคัญต่อการดำรงอยู่ของสรรพชีวิต ที่เชื่อมโยงกันทั้งพืช สัตว์ และจุลินทรีย์หลากชนิด และยังมีคุณค่ากับมนุษย์ในเชิงเศรษฐกิจและสังคมทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และระดับนานาชาติ โดยพื้นที่ชุ่มน้ำยังจัดเป็นนิเวศบริการ ที่ส่งมอบนานาประโยชน์จากธรรมชาติสู่มนุษย์หลากหลายด้าน

ไอคอน PDPA

เราใช้คุกกี้เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของคุณ (ตั้งค่า)

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

Accept All
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • Necessary cookies
    เปิดใช้งานตลอด

    Necessary cookies are essential for the functioning of the website, allowing you to use and browse the site normally. You cannot disable these cookies in our website's system.

  • คุกกี้วิเคราะห์เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การใช้งาน

    คุกกี้เหล่านี้ใช้เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งานเว็บไซต์ เช่น จำนวนผู้เข้าชม, หน้าเว็บที่ได้รับความนิยม และพฤติกรรมการท่องเว็บ ซึ่งช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์ปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ได้

  • คุกกี้การทำงานเพื่อจดจำการตั้งค่าผู้ใช้

    คุกกี้เหล่านี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานเว็บไซต์ โดยจดจำการตั้งค่าที่ผู้ใช้เคยกำหนดไว้ เช่น ชื่อผู้ใช้, ภาษา, ภูมิภาค หรือการปรับแต่งเว็บไซต์ตามความต้องการ

Save