โครงการปทุมวัน Zero Waste: เครือข่ายการจัดการขยะในกรุงเทพมหานคร ช่วยลดขยะเศษอาหารมากกว่า 2,000 ตัน
Photo credit: https://bkkzerowaste.org/
“ความร่วมมือจากโครงการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในเขตปทุม โดยมีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นแกนนำ พร้อมด้วยภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน 67 หน่วยงาน ร่วมกับสำนักงานเขตปทุมวัน มีเป้าหมายในการลดปริมาณขยะที่เข้าสู่กระบวนการฝังกลบที่มีมากถึง 207 ตัน/วัน เป็นการนำองค์ความรู้และประสบการณ์จากการจัดการขยะภายในถ่ายทอดสู่ภาคี เครือข่ายภาครัฐ และเอกชน ทำให้ใน 7 เดือนที่ผ่านมาประสิทธิภาพในการลดและแยกขยะภายในเขตเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะขยะเศษอาหารที่แยกออกมาได้มีจำนวน 2,148 ตันและถูกจัดการอย่างเหมาะสม ซึ่งถ้าหากขยะเศษอาหารเหล่านี้ปะปนกับขยะอื่น จะสามารถก่อให้เกิดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึงประมาณ 5,456 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า”
เขตปทุมวัน ใจกลางกรุงเทพมหานคร ที่มีจำนวนประชากรต่ำที่สุดเป็นอันดับ 3 เพียง 40,844 คน แต่ในปี 2565 กลับสร้างปริมาณขยะมูลฝอยถึง 75,549 ตัน/ปี หรือ 207 ตัน/วัน เท่ากับว่าประชากร 1 คน สร้างขยะมูลฝอยมากถึงวันละ 5 กิโลกรัม พุ่งสูงเป็นอันดับ 1 ของกรุงเทพมหานคร ในขณะที่ค่าเฉลี่ยของคนกรุงเทพมหานคร สร้างขยะเพียง 1.5 กิโลกรัมต่อวันเท่านั้น สาเหตุที่ทำให้ประชากรในเขตปทุมวันต้องแบกรับขยะเป็นอันดับหนึ่ง เนื่องจากในเขตนี้มีสถานศึกษาขนาดใหญ่ทั้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งมีจำนวนบุคคลากรและนิสิตมากกว่าจำนวนประชากรในทะเบียนบ้าน อีกทั้งมีศูนย์การค้าขนาดใหญ่ที่รองรับนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศ เช่น ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์มีผู้ใช้บริการสูงถึง 150,000 คนต่อวัน และยังมีพนักงานที่เข้ามาทำงานในสำนักงานต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่ในเขตนี้ สะท้อนให้เห็นว่า ในแต่ละวัน เขตปทุมวันมีผู้คนจำนวนมหาศาลแวะเวียนเข้ามาใช้ประโยชน์และพร้อมสร้างขยะทิ้งเอาไว้ ซึ่งจำเป็นต้องมีการจัดการเพื่อลดจำนวนขยะที่เกิดขึ้นเป็นจำนวนมากในเขตนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งขยะอินทรีย์ที่มีมากถึงร้อยละ 50 และเป็นแหล่งกำเนิดที่สำคัญของแก๊สมีเทน หนึ่งในแก๊สเรือนกระจกที่สำคัญ ต้นตอของภาวะโลกรวน
ภายในพื้นที่ 1 ตารางกิโลเมตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประกอบด้วยไปนิสิต 38,000 คน และ บุคลากร 3,040 คน จำนวนอาคารมีมากถึง 217 อาคาร ทำให้เป็นแหล่งกำเนิดขยะแหล่งใหญ่แห่งหนึ่งในเขตปทุมวัน แต่การดำเนินโครงการ การจัดการขยะภายในมหาวิทยาลัย Chula Zero Waste ที่ดำเนินมาเป็น 7 ปี ซึ่งเป็นการจัดการตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง โดยอาศัยหลักสำคัญคือ “การจัดการขยะอย่างยั่งยืน (Waste Hierarchy)” ผ่านนโยบายและปรับสิ่งแวดล้อมโดยรอบเพื่อสนับสนุนให้เกิดการลดและแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง เช่น มาตรการลดขยะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง แคมเปญ การสื่อสาร การติดตั้งตู้กดน้ำ จุดแยกขยะที่เป็นระบบเดียวกันทั้งมหาวิทยาลัย พัฒนาการเก็บขนและกำจัดขยะแต่ละประเภทแยกกัน เพราะแต่ละประเภทจะมีปลายทางที่เหมาะสมแตกต่างกัน เช่น เศษอาหารที่ยังไม่ปรุงสุกนำไปเข้าเครื่องแปลงเป็นสารปรับปรุงดินภายใน 24 ชั่วโมง ส่วนอาหารที่เหลือจากการกินจะมีเกษตรกรมารับไปเป็นอาหารสัตว์ ขยะที่ขายได้จะถูกแยกมาขาย เพื่อให้เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล ขยะพลาสติกอื่น ๆ ที่มีสัดส่วนที่เยอะมากและเป็นปัญหาเนื่องจากไม่สามารถกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้จะนำไปใช้เป็นพลังงานทดแทนในการผลิตปูนซีเมนต์ ส่วนขยะอันตราย (แบตตารี่ หลอดไฟ เป็นต้น) หน้ากากอนามัย จะถูกรวบรวมและส่งกำจัดอย่างเหมาะสมเช่นกัน กระบวนการต่าง ๆ เป้าหมายลดปริมาณขยะที่จะถูกส่งไปหลุมฝังกลบให้เหลือน้อยที่สุด จากกระบวนการทำงานภายใต้หลักการ Waste Hierarchy ทำให้ที่ผ่านมาเราสามารถลดขยะและเปลี่ยนขยะให้เป็นประโยชน์ได้มากถึง 55.26% (ปี 2022)
จากการพัฒนาการทำงานของโครงการภายในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สามารถเปิดให้เป็นแหล่งข้อมูล (ให้คำปรึกษา) แหล่งเรียนรู้สำหรับองค์กรต่าง ๆ ที่สนใจ โดยระหว่าง ม.ค. – ต.ค. 66 มีหน่วยงานเข้ามา 21 หน่วยงาน สำหรับการผลักดันในภาพที่ใหญ่ขึ้นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้เป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนการจัดการขยะของกรุงเทพฯ ในการนำข้อเสนอนโยบายให้กับผู้ว่าฯ กทม. ร่วมกับภาคีสิ่งแวดล้อม จนเกิดเป็นโครงการ “ไม่เทรวม” ซึ่งเป็นการรณรงค์ให้ประชาชนแยกทิ้งเศษอาหารออกจากขยะทั่วไปเพื่อให้เขตจัดเก็บไปจัดการต่อ (ทำปุ๋ย) อีกทั้งได้ทำงานร่วมกับเขตปทุมวัน ในการจัดระบบการจัดเก็บขยะเพื่อให้สอดคล้องกับการเข้าไปผลักดันให้แหล่งกำเนิดในเขตปทุมวัน จำนวนมากกว่า 48 แห่ง มีระบบการลดและแยกขยะตั้งแต่ต้นทางภายในแหล่งกำเนิด ร่วมกับภาคีสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ผ่านโครงการ “BKK Zero Waste:ต่อยอดโครงการไม่เทรวม” นอกจากนี้การทำงานที่มุ่งมั่นและจริงจังของจุฬาฯ ยังส่งแรงกระตุ้นให้ภาคเอกชนอีกหลายที่เข้ามาร่วมมือในการผลักดันให้เกิดโครงการ “ปทุมวัน Zero Waste” โดยที่นอกจากภาคเอกชนมีระบบการจัดการขยะภายในแหล่งกำเนิดของตัวเอง ยังออกไปช่วยชุมชนรอบ ๆ ให้เกิดการจัดการขยะที่ดีขึ้นอีกด้วย ทำให้ใน 7 เดือนที่ผ่านมาประสิทธิภาพในการลดและแยกขยะภายในเขตเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะขยะเศษอาหารที่แยกออกมาและจัดการอย่างเหมาะสมมีจำนวน 2,148 ตัน ซึ่งถ้าหากขยะเศษอาหารเหล่านี้ปะปนกับขยะอื่น จะสามารถก่อให้เกิดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึงประมาณ 5,456 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า นอกจากนี้ โครงการดังกล่าวทำให้ผู้คนที่เข้ามาใช้ชีวิตในเขตปทุมวันเปลี่ยนพฤติกรรมการทิ้งขยะ ให้หันมาแยกขยะก่อนทิ้ง และพร้อมนำติดตัวไปปฏิบัติเมื่อกลับไปพักอาศัยในพื้นที่ทั่วกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ขยายผลลัพธ์ของโครงการออกไปอย่างอัตโนมัติ
ที่มา
- โครงการ Chula Zero Waste
- สถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- สำนักบริหารระบบกายภาพ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
รายละเอียดที่เกี่ยวข้อง:
SDG ที่เกี่ยวข้อง
อื่นๆ
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย: สานพลังความร่วมมือเพื่อสุขภาวะที่ดีของโลก
ในโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทายด้านสุขภาพ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยืนหยัดเป็นประภาคารแห่งความหวัง ด้วยการทุ่มเทขับเคลื่อน เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG) ข้อที่ 3 ขององค์การสหประชาชาติ—สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของทุกคน ผ่านเครือข่ายความร่วมมือที่ทอดยาวจากชุมชนท้องถิ่นสู่เวทีโลก
ธนาคารปูม้า เกาะสีชัง ต้นแบบศูนย์เรียนรู้เพิ่มทางรอดปูม้าไทยคืนสู่ท้องทะเล
เมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2563 มีชาวประมงที่จับปูม้าที่ท้องนอกกระดองมาให้ ศูนย์เรียนรู้ธนาคารปูม้าบนบก อำเภอเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี เป็นจำนวน 457 ตัว เพื่อเพาะเป็นลูกปูม้า ศูนย์สามารถดูแลปูไข่จนลูกปูม้าถึง 565,219,724 ตัว และแม้ลูกปูม้าจะมีเปอร์เซนต์รอดชีวิตที่ 40-60% ศูนย์ก็ยังสามารถเอาลูกปูม้าไปปล่อยในทะเลได้มากเกินกว่า
CU-PIG FARMING: โรงเรียนสาธิตการเลี้ยงสุกร เปิดทางเลือกใหม่ของเกษตรกรในจังหวัดน่าน
จังหวัดน่านประสบปัญหาผลผลิตทางการเกษตรไม่เพียงพอต่อการบริโภคภายในจังหวัด ส่งผลให้ต้องพึ่งพาการนำเข้าสินค้าเกษตรจากที่อื่น โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ที่มีโปรตีนสูง เช่น เนื้อสุกร เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนทางด้านอาหาร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงริเริ่มโครงการเพื่อเพิ่มผลผลิตเนื้อสุกร เพื่อสนับสนุนการดำรงชีวิตอย่างยั่งยืนของเกษตรกรในท้องถิ่น
เปิดภารกิจเครือข่ายมหาวิทยาลัยผู้พิทักษ์ผืนป่าชุ่มน้ำลุ่มน้ำโขง
ระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำทั่วโลก มีความสำคัญต่อการดำรงอยู่ของสรรพชีวิต ที่เชื่อมโยงกันทั้งพืช สัตว์ และจุลินทรีย์หลากชนิด และยังมีคุณค่ากับมนุษย์ในเชิงเศรษฐกิจและสังคมทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และระดับนานาชาติ โดยพื้นที่ชุ่มน้ำยังจัดเป็นนิเวศบริการ ที่ส่งมอบนานาประโยชน์จากธรรมชาติสู่มนุษย์หลากหลายด้าน