นิคมอุตสาหกรรมและท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดตั้งอยู่ในจังหวัดระยอง บนเนื้อที่ทั้งหมด 12,568 ไร่ แบ่งเป็นเขตอุตสาหกรรมทั่วไป 5,985 ไร่ เขตพื้นที่ผนวกเพิ่ม 1,685 ไร่ เขตพื้นที่ชุมชนเมืองใหม่ 2,028 ไร่ และเขตพื้นที่บริเวณท่าเรือ 2,870 ไร่ เป็นพื้นที่เป้าหมายของโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor Development) ของประเทศไทย เป็นอีกหนึ่งในนิคมอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพทั้งด้านแรงงาน การคมนาคมขนส่ง และอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่สามารถพัฒนาต่อยอดสอดรับกับนโยบายของรัฐบาล ปัจจุบันนิคมอุตสาหกรรมแห่งนี้เป็นฐานการผลิตของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของประเทศ และเป็นพื้นที่การลงทุนของอุตสาหกรรมต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ที่สามารถเชื่อมโยงไปยังอุตสาหกรรมการผลิตมากมาย อาทิ อุปกรณ์เครื่องใช้ บรรจุภัณฑ์ อุปกรณ์ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ เสื้อผ้า เฟอร์นิเจอร์ รวมถึงยังช่วยส่งเสริมศักยภาพของอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันและผลิตภัณฑ์จากปิโตรเลียม กลุ่มโรงงานเคมีภัณฑ์ผลิตภัณฑ์เคมีและพลาสติก รวมทั้งสิ้น 64 โรงงาน และยังมีท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดเป็นหน่วยงานสนับสนุนการให้บริการทางด้านการคมนาคม และขนสินค้า ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ผู้ประกอบการตัดสินใจลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
ระบบบำบัดน้ำเสียปัจจุบันของนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ถูกออกแบบอย่างมีมาตรฐานให้รองรับน้ำเสียที่เกิดขึ้นจากทั้งเขตอุตสาหกรรมทั่วไปและเขตพื้นที่ธุรกิจอุตสาหกรรม รวมไปถึงน้ำเสียและของเสียจากเรือจากท่าเรืออุตสาหกรรม และอยู่ภายใต้การกำกับของประกาศของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 78/2554 เรื่อง หลักเกณฑ์ทั่วไปในการระบายน้ำเสียเข้าสู่ระบบบำบัดน้ำเสียส่วนกลางในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด โดยมีมาตรการบังคับ อาทิ ให้การจัดการน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมทุกโรงงานต้องมีและเปิดใช้ระบบบำบัดน้ำเสีย เป็นระบบท่อปิด และแยกจากระบบระบายน้ำฝนโดยเด็ดขาด และกำหนดมให้ต้องมีบ่อตรวจคุณภาพน้ำ อย่างน้อย 1 บ่อ เพื่อใช้ประโยชน์ในการเก็บตัวอย่างน้ำเสียมาวิเคราะห์คุณภาพ เป็นต้น นอกจากนี้ นิคมอุตสาหกรรมยังได้ติดตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพน้ำอัตโนมัติที่ต้นและปลายคลองชากหมากก่อนระบายน้ำออกสู่ทะเล พร้อมส่งข้อมูลคุณภาพน้ำที่เป็นปัจจุบัน (On-line) มายังศูนย์เฝ้าระวังและควบคุมคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่สำนักงานนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดตลอดเวลา
แม้จะมีระบบบบำบัดน้ำเสียและมาตรการต่าง ๆ ออกมารองรับอย่างเข้มข้นแล้วก็ตาม แต่การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมที่อาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพของพืชและสัตว์ทะเลชายฝั่ง อาทิ คุณภาพน้ำด้อยมาตรฐาน ปัญหาน้ำเสีย การไหลเวียนของน้ำไม่ดี อาจนำไปสู่กรณีข้อพิพาทระหว่างนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดกับชุมชนโดยรอบเกือบ 40 ชุมชนซึ่งมีคนในพื้นที่อาศัยอยู่ราว 70,000 คนได้
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยสถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำ ร่วมกับ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้สนับสนุนทุนวิจัย จึงจัดทำโครงการศึกษาสถานภาพความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรประมงและสิ่งแวดล้อมบริเวณพื้นที่ชายฝั่งมาบตาพุด จังหวัดระยอง (ฤดูแล้ง) ขึ้นเพื่อศึกษาและสำรวจสถานภาพความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรประมงและสิ่งแวดล้อมบริเวณชายหาดมาบตาพุด ศึกษาสมุทรศาสตร์และการเปลี่ยนแปลงของชายฝั่ง รวมถึงความหลากหลายของประชาคมปลาให้ได้ข้อมูลทางวิชาการที่สามารถใช้อ้างอิงได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเมื่อทราบข้อมูลที่แท้จริงรวมถึงต้นเหตุแห่งปัญหาที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากอะไร หน่วยงานราชการและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะได้ร่วมกันกำหนดนโยบายและแนวทางการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมชายฝั่งมาบตาพุดได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้โรงงานและนิคมอุตสาหกรรมเองยังได้ใช้ข้อมูลนี้เพื่อประกอบการดำเนินการตามมาตรการบำบัดน้ำเสียหรือของเสียก่อนปล่อยลงสู่ธรรมชาติ รวมถึงใช้ในการจัดสรรงบประมาณเพื่อดูแลทรัพยากรของชุมชนชายฝั่งเพื่อให้ชุมชนได้เข้ามามีร่วมบริหารจัดการทรัพยากรชายฝั่งให้ยั่งยืนและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อไป
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เริ่มดำเนินโครงการนี้ตั้งแต่ช่วงฤดูแล้งราวเดือนกรกฎาคม 2560 โดยแบ่งพื้นที่ตามบริเวณที่ได้รับอิทธิพลจากแหล่งกำเนิดมลพิษเป็น 4 พื้นที่ ได้แก่ 1) หาดตากวน เป็นพื้นที่ใกล้ฝั่งที่ได้รับอิทธิพลจากน้ำทิ้งที่รับน้ำจากนิคมอุตสาหกรรม ชุมชน และการผูกทุ่นเลี้ยงหอยที่มีความหนาแน่นมาก 2) เกาะสะเก็ด เป็นพื้นที่ห่างฝั่งซึ่งมีระบบนิเวศปะการังรอบเกาะสะเก็ด และอาจได้รับอิทธิพลจากน้ำทิ้งจากนิคมอุตสาหกรรม ชุมชน และการผูกทุ่นเลี้ยงหอย 3) หาดสุชาดา และ 4) หาดแสงจันทร์ เป็นบริเวณที่ห่างออกมาจากนิคมอุตสาหกรรมแต่ยังคงได้รับอิทธิพลจากน้ำทิ้งบางส่วนเช่นกัน รวมทั้งการผูกทุ่นเลี้ยงหอยในทะเล การสร้างรีสอร์ทและร้านค้าที่รองรับการท่องเที่ยว โดยศึกษาปัจจัยสิ่งแวดล้อมในน้ำและดินตะกอน รวมทั้งการศึกษาความหลากหลายและความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรสิ่งมีชีวิตบริเวณชายฝั่งควบคู่กัน โดยเมื่อเสร็จสิ้นโครงการวิจัยแล้วได้ดำเนินกิจกรรมถ่ายทอดข้อมูลและความรู้จากงานวิจัยสู่ชุมชนชายฝั่งที่อยู่ในพื้นที่ศึกษา นำผลงานวิจัยไปต่อยอด พัฒนาและจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมบริเวณชายฝั่งมาบตาพุด โดยได้ระดมความคิดจากที่ประชุมผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหาแนวทางจัดการที่เหมาะสมเพื่อเสนอต่อผู้มีอำนาจกำหนดนโยบายและการจัดการชายฝั่งในพื้นที่และระดับที่สูงขึ้นต่อไป
ที่มา:
สถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
SDG ที่เกี่ยวข้อง
อื่นๆ
เปิดเบื้องหลังความสำเร็จบนเส้นทางแห่งการพัฒนาวัคซีนจุฬาฯ
Chula VRC ก่อตั้งขึ้นในปี 2560 มีความมุ่งมั่นที่จะสร้างความเสมอภาคทางด้านวัคซีนให้เกิดขึ้นได้จริง ซึ่งถือเป็นภารกิจในระดับนานาชาติ โดยมีพันธกิจในการวิจัย และพัฒนาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ และมีความปลอดภัย ในราคาที่สามารถเข้าถึงได้ โดยเฉพาะในงานด้านการป้องกันโรคติดเชื้อและโรคไม่ติดเชื้อชนิดต่าง ๆ
จุฬาอารี นวัตกรรมทางสังคมเพื่อขับเคลื่อนสังคมผู้สูงอายุไทย
จากรายงานของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระบุว่าในปี พ.ศ. 2564 สังคมไทยจะเปลี่ยนเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ การเป็นสังคมสูงวัยสะท้อนถึงความสำเร็จของมนุษยชาติ ในการที่จะมีชีวิตยืนยาวขึ้นอย่างมาก
นวัตกรรมเครื่องบำบัดโรคระบบทางเดินหายใจอัตราการไหลสูงในภาวะฉุกเฉินการระบาด COVID-19
ใน พ.ศ. 2564 ทั่วโลกเกิดการระบาดของ COVID-19 เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมถึงประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการระบาดที่เกิดจากเชื้อกลายพันธุ์อัลฟาและเดลตา ทำให้มีผู้ติดเชื้อยืนยันเกิน 363,000 รายและผู้เสียชีวิตเกือบ 3,000 รายในประเทศไทยถึงเดือนกรกฎาคม อาการรุนแรงของผู้ป่วยนำมาสู่เครื่องช่วยหายใจและเครื่องบำบัดโรคอัตราการไหลสูงขาดแคลนเนื่องจากมีต้องการทั่วโลก
ฟาร์มโคนมไทยเฮ! จุฬาฯ ตั้งศูนย์วิจัยพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยี ยกระดับนมไทยยืนหนึ่งในอาเซียน
ในปี 2563 ประเทศไทย มีกำลังการผลิตน้ํานมดิบจากแม่โคนมในประเทศได้ราว 3,500 ตัน/วัน จากแม่โคทั่วประเทศ ประมาณ 310,000 ตัว โดยแม่โคนมไทยได้รับความนิยมจากประเทศคู่ค้าในสมาชิกอาเซียนและต้องการนำเข้าแม่โคนมจากไทยเพราะสามารถพัฒนาสายพันธุ์ได้เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศเขตร้อนชื้นของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ดี จึงทำให้ไทยสามารถส่งออกแม่โคนมได้ 840 ตัวต่อปี ในขณะที่คู่แข่งทางการค้าที่สำคัญของไทยในภูมิภาคอาเซียนคือออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ที่ส่งออกผลิตภัณฑ์นมเข้ามาจำหน่าย และยังขยายฐานการผลิตเข้ามาแข่งขันตีตลาดของไทย