กรณีศึกษา

จุฬาฯ กับบทบาทการเป็นแหล่งข้อมูลสนับสนุนการพัฒนานโยบายเกี่ยวกับพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีด้านการส่งเสริมประสิทธิภาพทางพลังงาน

ในยุคที่โลกกำลังเผชิญสภาวะวิกฤตสภาพภูมิอากาศ การผลักดันให้เกิดนโยบายพลังงานสะอาด (clean energy) และเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน (energy-efficient technologies) กลายเป็นภารกิจสำคัญของรัฐและสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในฐานะสถาบันการศึกษาที่มีหน่วยงานที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในศาสตร์นี้ เช่น สถาบันวิจัยพลังงาน (Energy Research Institute: ERI) คณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ จึงได้เข้ามีส่วนร่วมในการแสดงบทบาทและให้ความร่วมมือในฐานะแหล่งข้อมูลสนับสนุนการพัฒนานโยบายเกี่ยวกับพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีด้านการส่งเสริมประสิทธิภาพทางพลังงานให้กับทั้งหน่วยงานของภาครัฐ ทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับภูมิภาค ระดับชาติ และระดับนานาชาติ รวมไปถึงหน่วยงานภาคเอกชนด้วย ตัวอย่างเช่น

1. งานเสวนา “แก้กับดักนโยบายพลังงานสะอาด สร้างโอกาสประเทศ” วันที่ 22 สิงหาคม 2567

ดร.สิริภา จุลกาญจน์ สถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ERI) นำเสนอผลการศึกษา “ปลดล็อกโซลาร์บนหลังคา พาไทยถึงเป้าพลังงานสะอาดอย่างยั่งยืน” เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2567 ในเวที “แก้กับดักนโยบายพลังงานสะอาด สร้างโอกาสประเทศ” จัดโดย “โครงการพลังงานสะอาดเข้าถึงได้และมั่นคง สำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Clean, Affordable, and Secure Energy for Southeast Asia: CASE) ซึ่งเป็นความร่วมมือจากองค์กรและภาคีเครือข่ายทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับภูมิภาค ระดับชาติ และระดับนานาชาติ ประกอบด้วย องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) ร่วมกับสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ERI) ไทยพีบีเอสพอดคาสต์ ศูนย์สื่อสารวาระทางสังคมและนโยบายสาธารณะ  (The Active) และสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) จัดงาน ที่ องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย

(ภาพ: TDRI)
(ภาพ: Thai PBS)

โดยในรายละเอียดเป็นการนำเสนอข้อมูลจากการศึกษาวิจัย สรุปผลการวิเคราะห์ถึงปัจจัยสำคัญคือนโยบายของรัฐที่ต้องมีความชัดเจนต่อการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนเพื่อดึงจุดเด่นของระบบผลิตไฟฟ้าแบบกระจายมาให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งมีมาตรการที่ช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนติดตั้งโซลาร์  จึงมีข้อเสนอแนะ 3 ด้านที่ภาครัฐควรเร่งดำเนินการดังนี้ 

  1. มีเป้าหมายที่ชัดเจนและรูปแบบโครงการที่เอื้อต่อการส่งเสริมเทคโนโลยีมาใช้ประโยชน์ และช่วยลดต้นทุนในการขยายโครงข่ายไฟฟ้า รวมทั้งการสนับสนุนรูปแบบธุรกิจใหม่ ๆ ที่มีการกำกับดูแลอย่างเหมาะสม
  2. จัดตั้ง one-stop shop service เพื่อลดต้นทุนและทำให้ขั้นตอนการขอใบอนุญาตรวดเร็วขึ้น โดยประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อลดความซ้ำซ้อนของขั้นตอนการขอใบอนุญาต
  3. การเตรียมความพร้อมของระบบโครงข่ายไฟฟ้าเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงบทบาทของผู้ใช้ไฟฟ้าที่กลายเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าด้วย

ซึ่งจุฬาฯ มุ่งหวังให้ข้อมูลดังกล่าว เป็นประโยชน์ในการนำไปใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณากำหนดร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP 2024) ของทางภาครัฐที่ยังไม่มีการระบุถึงทิศทางและนโยบายสนับสนุนการติดตั้งโซลาร์บนหลังคา รวมถึงการขายไฟฟ้าส่วนเกินที่ได้จากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาให้กับการไฟฟ้าที่เรียกว่า Independent power supply (IPS)  [ https://greennews.agency/?p=38720 ]

2. จุฬาฯ สร้างความร่วมมือ กฟผ. เพื่อการวิจัยด้านพลังงานและเทคโนโลยีหลัก (Key Technology) วันที่ 24 มิถุนายน 2568

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งเป็นความร่วมมือกับองค์กรในระดับภูมิภาคและระดับชาติ ลงนามความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2568 ณ ห้องประชุม 202 อาคารจามจุรี 4 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วัตถุประสงค์เพื่อตกลงร่วมมือในด้านการศึกษา วิจัย และพัฒนาโครงการที่มุ่งเน้นการยกระดับองค์ความรู้ วิชาการ และ ส่งเสริมนวัตกรรมด้านพลังงานและเทคโนโลยีหลัก (Key Technology) เช่น Grid Modernization, Battery EnergyStorage System (BESS), Hydrogen CCUS และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการผลิตไฟฟ้า เช่น โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (โรงไฟฟ้า SMR) เทคโนโลยีคาร์บอนไดออกไซด์ในสถานะความร้อนยิ่งยวด (sCO2) เทคโนโลยีพลาสมาและฟิวชั่น พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) งานวิจัยด้านชุมชน สังคม สิ่งแวดล้อมและสุขภาวะของประชาคม รวมถึงงานวิจัยเชิงพื้นที่ (Area-Based Research) โดยการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ตอบสนองต่อการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงาน เพิ่มศักยภาพในการสร้างผลิตภัณฑ์หรือระบบที่มีประสิทธิภาพสูง รวมทั้งสามารถตอบโจทย์ของผู้ใช้งานที่หลากหลายได้อย่างยั่งยืน ซึ่งงานวิจัยและผลการศึกษาเหล่านี้จะเป็นข้อมูลสนับสนุนเชิงวิชาการแก่รัฐบาล สำหรับการพัฒนานโยบายด้านพลังงานสะอาดและประสิทธิภาพพลังงานต่อไปได้อีกด้วย [ https://www.research.chula.ac.th/mou-chula-and-egat/ ]

3. จุฬาฯ จับมือ กฟผ. ขับเคลื่อนงานวิจัยโครงการผลิตไฮโดรเจนจากพลังงานหมุนเวียนร่วมเดินหน้าประเทศไทยสู่อนาคตพลังงานสะอาดที่ยั่งยืน วันที่ 15 กันยายน 2568

กฟผ. และ ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Chula Unisearch) ร่วมลงนามในสัญญามอบทุนวิจัย “การนำหลักการ ESG มาใช้สนับสนุนการพัฒนาโครงการอย่างยั่งยืนของ กฟผ. ในการผลิตไฮโดรเจนและอนุพันธ์ของไฮโดรเจนจากพลังงานหมุนเวียน” ผลักดันการพัฒนาที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ตามมาตรฐานสากล พร้อมต่อยอดสู่การใช้ประโยชน์จริงในการขับเคลื่อนพลังงานสะอาดและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ ณ สำนักงานใหญ่ กฟผ. จ.นนทบุรี เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2568

โดยงานวิจัยในครั้งนี้จะช่วยเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีการผลิตไฮโดรเจนสะอาดจากพลังงานหมุนเวียนผ่านการนำหลัก Environmental, Social, and Governance หรือ ESG มาใช้ประเมินโครงการผลิตไฮโดรเจนสะอาดให้มีประสิทธิภาพรอบด้าน และยั่งยืน สอดคล้องกับมาตรฐานในระดับสากล ทั้งในด้าน ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การสนับสนุนคุณภาพชีวิตของชุมชน และการบริหารจัดการที่โปร่งใส โดยความร่วมมือในครั้งนี้จะทำให้ประเทศไทย และ กฟผ. สามารถบรรลุเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมั่นคง และเป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยรวมในระยะยาว และผลจากการศึกษาวิจัยครั้งนี้จะเป็นข้อมูลและผลงานเชิงประจักษ์ที่ใช้สนับสนุนเชิงวิชาการแก่ภาครัฐ สำหรับการพัฒนานโยบายด้านพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีด้านการส่งเสริมประสิทธิภาพทางพลังงานต่อไปอีกด้วย [ https://www.egat.co.th/home/20250917-pre112/ ]

ที่มา

  • สถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

อื่นๆ

นวัตกรรมเครื่องบำบัดโรคระบบทางเดินหายใจอัตราการไหลสูงในภาวะฉุกเฉินการระบาด COVID-19

ใน พ.ศ. 2564 ทั่วโลกเกิดการระบาดของ COVID-19  เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมถึงประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการระบาดที่เกิดจากเชื้อกลายพันธุ์อัลฟาและเดลตา ทำให้มีผู้ติดเชื้อยืนยันเกิน 363,000 รายและผู้เสียชีวิตเกือบ 3,000 รายในประเทศไทยถึงเดือนกรกฎาคม อาการรุนแรงของผู้ป่วยนำมาสู่เครื่องช่วยหายใจและเครื่องบำบัดโรคอัตราการไหลสูงขาดแคลนเนื่องจากมีต้องการทั่วโลก

ความร่วมมือในการสำรวจระดับนานาชาติ “ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมและการรับรู้ผลกระทบจากโรคโคโรน่าไวรัส 2019 (โควิด-19)”

วิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาฯ ได้รับความไว้วางใจและร่วมมือกับสมาคมมหาวิทยาลัยภาคพื้นแปซิฟิก (APRU) ในการสำรวจระดับนานาชาติ “ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมและการรับรู้ผลกระทบจากโรคโควิด-19 (COVID-19)” โดยมุ่งเน้นการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกและประเมินผลกระทบของโรคโควิด-19  ซึ่งมุ่งหวังที่จะช่วยในการพัฒนาแนวทางในการจัดการกับการระบาดของโรคโควิด-19 และเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการจัดการต่อโรคระบาดที่คล้าย ๆ กัน ในอนาคต

ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมและการรับรู้ผลกระทบจากโรคโคโรน่าไวรัส 2019 (โควิด-19): การสำรวจระดับนานาชาติ

การแพร่ระบาดของโรคโควิด19 ทั่วโลกยังคงมีอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีวัคซีนแล้ว แต่ไวรัสก็ยังกลายพันธุ์ได้อยู่ และยังส่งผลกระทบต่อมนุษย์เป็นอย่างมาก ดังนั้นการหาข้อมูลหรือการเก็บข้อมูลที่จะเก็บประเด็นผลกระทบต่างๆจึงมีความสำคัญ โดยเฉพาะการเก็บข้อมูลในวงกว้างระดับภูมิภาค จึงเป็นหน้าที่ของมหาวิทยาลัยในภาคีเครือขายของ  Association of Pacific Rim Universities (APRU) ในหน่วย Global Health Program ซึ่งมหาวิทยาลัยที่เป็นสมาชิกทั้งหมด 60 มหาวิทยาลัย จาก 19 ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จึงได้มีการทำโครงการสำรวจข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมและการรับรู้ผลกระทบจากโรคโคโรน่าไวรัส 2019 (โควิด-19) ขึ้น

การวิเคราะห์ลายนิ้วมือน้ำมันดิบ ติดตามมลพิษ: วิทยาลัยปิโตรเลียมและปิโตรเคมีทำงานเพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่กำลังเพิ่มขึ้น

ทุกๆ ปี ผู้คนที่อาศัยอยู่ใกล้ชายฝั่งหรือบริเวณป่าชายเลนในประเทศไทยจะพบคราบน้ำมันและก้อนน้ำมันบนชายฝั่ง ซึ่งเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม สิ่งมีชีวิต และกระทบการท่องเที่ยว โดยในช่วงหลังๆ ปริมาณก้อนน้ำมันที่พบเห็นเพิ่มมากขึ้น แสดงให้เห็นถึงปัญหาที่เลวร้ายมากขึ้น

ไอคอน PDPA

เราใช้คุกกี้เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของคุณ (ตั้งค่า)

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

Accept All
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • Necessary cookies
    เปิดใช้งานตลอด

    Necessary cookies are essential for the functioning of the website, allowing you to use and browse the site normally. You cannot disable these cookies in our website's system.

  • คุกกี้วิเคราะห์เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การใช้งาน

    คุกกี้เหล่านี้ใช้เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งานเว็บไซต์ เช่น จำนวนผู้เข้าชม, หน้าเว็บที่ได้รับความนิยม และพฤติกรรมการท่องเว็บ ซึ่งช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์ปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ได้

  • คุกกี้การทำงานเพื่อจดจำการตั้งค่าผู้ใช้

    คุกกี้เหล่านี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานเว็บไซต์ โดยจดจำการตั้งค่าที่ผู้ใช้เคยกำหนดไว้ เช่น ชื่อผู้ใช้, ภาษา, ภูมิภาค หรือการปรับแต่งเว็บไซต์ตามความต้องการ

Save