กรณีศึกษา

รูปแบบที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุไทยเพื่อส่งเสริมสุขภาพกาย สุขภาพใจ ภายใต้แนวคิดชุมชนที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ

ปัจจุบันประเทศไทยได้กลายเป็นสังคมสูงวัย ตั้งแต่ พ.ศ. 2548 โดยปัญหาสุขภาพทั้งทางกาย และจิตใจ ยังคงเป็นปัจจัยที่สำคัญหนึ่งของผู้สูงอายุ มีการคาดการณ์ว่าใน พ.ศ. 2590 จะมีผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง 1.2 ล้านคน และต้องเสียค่าใช้จ่ายสำหรับการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงถึงประมาณ 3.4 แสนล้านบาท ในด้านที่อยู่อาศัยพบว่า ผู้สูงอายุในประเทศไทยส่วนใหญ่ถึงร้อยละ 92.44 ต้องการที่จะอยู่อาศัยในที่อยู่อาศัยเดิม และต้องการปรับปรุงที่อยู่อาศัย และสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับผู้สูงอายุ ตามแนวคิด การสูงวัยในถิ่นเดิม (Aging in place) อย่างไรก็ดีการที่จะให้ผู้สูงอายุสามารถอาศัยอยู่ในที่อยู่เดิมของตนได้นานที่สุด ปัจจัยสำคัญคือ ที่อยู่อาศัยต้องถูกออกแบบให้เป็นที่อยู่อาศัยที่สามารถเข้าถึงได้ ซึ่งจำเป็นต้องมีความเกี่ยวโยงกับชุมชนที่ต้องดำเนินการปรับสภาพแวดล้อมของชุมชนให้เอื้อต่อการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุเช่นเดียวกัน

โครงการนี้เริ่มต้นเมื่อวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2563 และสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 โดยความดูแลของศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางการออกแบบสภาพแวดล้อมเพื่อทุกคน (CEUD) คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และควบคุมโดย รศ.ไตรรัตน์ จารุทัศน์ หัวหน้าภาควิชาเคหการ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วัตถุประสงค์หลักของโครงการนี้คือการส่งเสริมการใช้ชีวิตที่มีคุณภาพของผู้สูงอายุ โครงการประกอบด้วยโครงการย่อยทั้งหมด 7 โครงการ และมีความน่าสนใจในหลายประการอัน ได้แก่ ดำเนินการโครงการตามแนวคิดชุมชนที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุของ WHO ครบทั้ง 8 ด้าน ด้วยทีมสหสาขาวิชาชีพ เป็นการวิจัยเชิงพื้นที่ เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (ซ่อมแซม ปรับปรุงชุมชนในภาพรวมและพฤติกรรมปัจเจกบุคคล) มีแผนปฏิบัติการจริง (Action research) มีระบบติดตามประเมินผลก่อนและหลังการวิจัย มีการตรวจและอบรมด้านสุขภาพกายและจิตใจ

โครงการมีวัตถุประสงค์หลัก 3 ประการ

  1. ส่งเสริมให้เกิดกระบวนการสร้างความร่วมมือ การมีส่วนร่วมระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ ตามหลักชุมชนที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการสื่อสารที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุ เพื่อทำให้เกิดแนวทางการสร้างแรงจูงใจให้หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ และเอกชน
  2. ศึกษาออกแบบการปรับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัย และพื้นที่ปฏิบัติกิจกรรม ให้เอื้อต่อการใช้ประโยชน์สำหรับผู้สูงอายุ
  3. สร้างต้นแบบ และมาตรฐานที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุไทยเพื่อส่งเสริมสุขภาพกาย-ใจ

กลุ่มตัวอย่างในการเก็บข้อมูลครั้งนี้ มีจำนวนทั้งสิ้น 2,116 คน ประกอบด้วย กลุ่มผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในครัวเรือนหรือที่พักของตนเองใน 5 ภูมิภาค 9 จังหวัด และกลุ่มผู้สูงอายุที่อาศัยในสถานดูแลผู้สูงอายุระยะยาวใน 5 ภูมิภาค 13 จังหวัดด้วย

พื้นที่ดำเนินการกิจกรรม 5 พื้นที่หลัก ได้แก่

  1. เทศบาลตำบลหนองตองพัฒนา อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่
  2. องค์การบริหารส่วนตำบลหนองแซง อำเภอบ้านแฮด จังหวัดขอนแก่น
  3. ชุมชนภักดีราชา เทศบาลนครรังสิต จังหวัดปทุมธานี
  4. ชุมชนเลิศสุขสม เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร และ
  5. เทศบาลนครสงขลา อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา

โครงการความร่วมมือนี้ ดำเนินการตามขั้นตอนสำคัญต่าง ๆ ดังนี้

  1. การเตรียมการและการวิจัย: ทีมงานของโครงริเริ่มความพยายามโดยดำเนินการวิจัยอย่างละเอียดและทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง และขอจริยธรรมการวิจัยในคน ต่อคณะกรรมการพิจารณาจริยธรรมในคน
  2. การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล: ทีมงานรวบรวมข้อมูลพื้นฐานจากบุคคลจำนวน 2,116 คน ทำให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นเพื่อระบุแนวโน้มสำคัญและประเด็นที่เกี่ยวข้องกับประชากรสูงอายุได้
  3. การมีส่วนร่วมของชุมชน: ผู้นำโครงการมีส่วนร่วมกับผู้นำชุมชนและผู้อยู่อาศัยใน 5 พื้นที่ ที่มีความแตกต่างกันในการดำเนินโครงการ ซึ่งรวมถึงการอภิปราย การนำเสนอ และการรวบรวมประเด็นปัญหาของชุมชน
  4. ร่วมวางแผนกับชุมชน: ทีมงานโครงการร่วมมือกับชุมชนในการเลือกพื้นที่ที่อยู่อาศัยและกิจกรรม (พื้นที่ส่วนกลาง) เพื่อการปรับปรุง โดยคำนึงถึงความต้องการของผู้สูงอายุ
  5. รวบรวมข้อมูลและการวิเคราะห์สำหรับโครงการย่อย: นอกเหนือจากการรวบรวมข้อมูลหลักแล้ว โครงการยังรวบรวมข้อมูลโดยความร่วมมือกับโครงการย่อยที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การสื่อสาร การตรวจสุขภาพกายและใจ สภาพของที่อยู่อาศัย และพื้นที่ดำเนินกิจกรรม
  6. วิเคราะห์ข้อมูลและการให้ข้อมูลย้อนกลับกับชุมชน: โครงการวิเคราะห์ข้อมูลและให้ข้อเสนอแนะแก่ชุมชน ครอบคลุมด้านต่าง ๆ เช่น การสื่อสาร สุขภาพกายและสุขภาพจิต ตลอดจนการออกแบบการปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่และพื้นที่กิจกรรม สิ่งนี้ทำให้ชุมชนสามารถพิจารณาและให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่เสนอได้
  7. การถ่ายทอดและการฝึกอบรม: โครงการดังกล่าวประกอบด้วยกิจกรรมการถ่ายทอดความรู้และการฝึกอบรมเพื่อให้ผู้สูงอายุและชุมชนมีทักษะและความรู้เพื่อความเป็นอยู่และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
  8. การรวบรวมข้อมูลจากโครงการย่อย: โครงการยังคงรวบรวมข้อมูลโดยร่วมมือกับโครงการย่อยต่าง ๆ
  9. การติดตามและลงนามบันทึกความเข้าใจ: โครงการติดตามความคืบหน้าของงานและลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ปฏิบัติการ
  10. สรุปโครงการ: ดำเนินการสรุปผลการดำเนินโครงการ พร้อมผลลัพธ์และความสำเร็จของโครงการ

ลักษณะความร่วมมือของโครงการนี้เกี่ยวข้องกับองค์กรและหน่วยงานต่าง ๆ มากมาย ผลกระทบของโครงการต่อชุมชนมีความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยเป็นการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชากรผู้สูงอายุในประเทศไทย โดยการเสริมสร้างสุขภาพ ความรู้ สภาพความเป็นอยู่ และความเป็นอยู่โดยรวม นอกจากนี้ ความพยายามในการทำงานร่วมกันเหล่านี้ได้ส่งเสริมความรู้สึกของการมีส่วนร่วมของชุมชน ความร่วมมือ และการสนับสนุนซึ่งกันและกัน ซึ่งท้ายที่สุดแล้วมีส่วนช่วยในการพัฒนาชุมชนที่ครอบคลุมและยั่งยืนมากขึ้นในประเทศไทย

ลักษณะความร่วมมือของโครงการนี้เกี่ยวข้องกับองค์กรและหน่วยงานต่าง ๆ ดังนี้

  1. การสนับสนุนทางการเงิน: โครงการได้รับทุนวิจัยจากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ
  2. ความร่วมมือทางวิชาการ: โครงการนี้ร่วมมือกับสถาบันการศึกษา เช่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มหาวิทยาลัยพะเยา ฯลฯ
  3. หน่วยงานท้องถิ่น: ร่วมมือกับหน่วยงานท้องถิ่น ได้แก่ เทศบาลตำบลหนองตองพัฒนา อำเภอหางดง เชียงใหม่ องค์การบริหารส่วนตำบลหนองแซง อำเภอบ้านแฮดขอนแก่น เทศบาลนครรังสิต ปทุมธานี สำนักงานเขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร เป็นต้น
  4. หน่วยงานภาครัฐ: เครือข่ายโครงการประกอบด้วยหน่วยงานภาครัฐหลายแห่ง เช่น กรมธนารักษ์ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ การเคหะแห่งชาติ สภากาชาดไทย
  5. สถานีตำรวจและโรงพยาบาลในพื้นที่: โครงการขยายความร่วมมือไปยังสถานีตำรวจท้องที่ (สถานีตำรวจนครบาลภาษีเจริญ) และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) เพื่อรวบรวมข้อมูลและสนับสนุนวัตถุประสงค์ของโครงการ
  6. องค์กรชุมชน: โครงการนี้มีส่วนร่วมกับองค์กรในชุมชน เช่น สาธารณสุขอำเภอ  สำนักงานพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด อาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน ในการส่งเสริมและดำเนินกิจกรรมด้านสุขภาพในชุมชน

โครงการนี้สร้างผลกระทบทั้งที่จับต้องได้และจับต้องไม่ได้ให้กับกลุ่มเป้าหมายและชุมชนในด้านสำคัญต่าง ๆ ผลกระทบเหล่านี้มีอิทธิพลอย่างมากต่อความรู้ ทักษะ และการดำรงชีวิตของผู้สูงอายุ กิจกรรมของโครงการและผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่

  1. การเสริมสร้างความรู้และทักษะ: โครงการจัดอบรมให้ความรู้แก่ผู้สูงอายุและแกนนำในพื้นที่ ในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านการรู้เท่าทันข่าวหลอกลวง โภชนาการ และการออกกำลังกาย มีผู้เข้าร่วมทั้งสิ้น 216 คน
  2. การฝึกอบรมช่างฝีมือในชุมชน: ช่างฝีมือในชุมชนได้รับการฝึกอบรมด้านการปรับปรุงบ้านเพื่อให้ที่อยู่อาศัยเหมาะสมกับผู้สูงอายุมากขึ้น มีผู้เข้าร่วมการฝึกอบรมทั้งหมด 348 คน
  3. เอกสารทางวิชาการ: โครงการจัดทำสื่อวิชาการต่าง ๆ ทั้งคู่มือ และเนื้อหามัลติมีเดียเพื่อเผยแพร่ความรู้แก่ผู้สูงอายุ
  4. มาตรฐานที่อยู่อาศัยที่เป็นมิตรต่อผู้สูงอายุ: โครงการได้พัฒนามาตรฐานสำหรับที่อยู่อาศัยที่เป็นมิตรต่อผู้สูงอายุ ประกอบด้วย แบบมาตรฐานที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย แบบมาตรฐานปรับปรุงห้องนอน ห้องน้ำ สภาพแวดล้อมทางเดิน บันได และห้องครัวที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุ
  5. การตรวจสุขภาพ: โครงการส่งเสริมการตรวจสุขภาพกายและสุขภาพจิตแก่ผู้สูงอายุจำนวน 387 คน และการวางระบบการส่งเสริมสุขภาพกายร่วมกับชุมชนและติดตั้งเครื่องออกกำลังกายให้ผู้สูงอายุ
  6. การปรับปรุงบ้านและสิ่งแวดล้อม: โครงการปรับปรุงบ้านผู้สูงอายุ 100 หลังและปรับปรุงหรือสร้างบ้านที่ทรุดโทรมมากจำนวน 10 หลัง รวมทั้งสิ้น 110 หลัง รวมถึงปรับปรุงพื้นที่ดำเนินกิจกรรม (พื้นที่ส่วนกลาง) 5 พื้นที่ และนำเสนออุปกรณ์ออกกำลังกายที่เป็นนวัตกรรมใหม่

ความสำเร็จของโครงการได้ก่อให้เกิดการทำงานร่วมกันและการเป็นหุ้นส่วนที่ยั่งยืนกับหน่วยงานท้องถิ่นในพื้นที่เหล่านี้ เพื่อแก้ไขปัญหาและความท้าทายในการพัฒนา นอกจากนี้ยังได้วางรากฐานเพื่อให้ผู้อยู่อาศัยในท้องถิ่นจะสามารถเข้าถึงที่อยู่อาศัยราคาไม่แพง ซึ่งถูกออกแบบมาให้ตรงตามความต้องการเฉพาะของกลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะช่วยยกระดับความเป็นอยู่ที่ดีของประชากรผู้สูงอายุในประเทศไทย

ที่มา

  • คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • วิทยาลัยประชากรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

อื่นๆ

จุฬาฯ ผนึกกำลังชุมชน ติวน้อง “ละอ่อนสารักษ์ป่าน่าน” ใช้ Google Earth Pro กู้ป่าชุมชนเสื่อมโทรม

สถานการณ์ป่าน่านเสื่อมโทรมเป็นปฐมเหตุให้ศูนย์เครือข่ายการเรียนรู้เพื่อภูมิภาค จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลผาสิงห์ อำเภอเมือง และสถานีวิจัยคัดเลือกและบำรุงพันธุ์สัตว์ ตำบลไหล่น่าน อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน ต้องผนึกกำลังกันดำเนินกิจกรรมร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในจังหวัดเพื่อวางแนวทางการพลิกฟื้นผืนป่าสร้างความสมดุลให้กับระบบนิเวศป่าชุมชน “ไหล่น่าน”

ค่ายวิศวพัฒน์ ส่งต่อองค์ความรู้การจัดการน้ำสู่ชุมชนเพื่อความยั่งยืน

คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประกอบด้วย 12 ภาควิชา รวมถึง ภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม วิศวกรรมโยธา วิศวกรรมสำรวจ และวิศวกรรมแหล่งน้ำ พร้อมด้วยคณาจารย์ผู้ทรงความรู้ ถือเป็นแหล่งบ่มเพาะองค์ความรู้ที่สำคัญทางการชลประทานที่พร้อมถ่ายทอดสู่นิสิต นำไปสู่การฝึกปฏิบัติจริงในการแก้ปัญหาด้านการจัดการน้ำให้กับชุมชนห่างไกล ผ่านค่ายวิศวพัฒน์ ซึ่งเป็นโครงการค่ายวิศวกรรมอาสาพัฒนาชนบทที่พร้อมปลูกฝังความเป็นผู้นำทั้งในด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมให้แก่นิสิตจิตอาสาที่เข้าร่วมค่าย

เทคโนโลยีราไมคอร์ไรซาเพื่อการปลูกและฟื้นฟูป่าอย่างสร้างสรรค์และยั่งยืนในทุกพื้นที่ของประเทศไทย

ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ตามรายงานของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร้อยละ 31-33 ของประเทศไทยเป็นพื้นที่สีเขียว ประเทศไทยให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูและปกป้องผืนป่าโดยกำหนดยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ.2561-2580) วางเป้าหมายในการขยายพื้นที่ป่าให้เป็นร้อยละ 40 ของพื้นที่ทั่วประเทศ

โรงเรียนสาธิตการเลี้ยงสุกร

หากจะพยายามอธิบายความหมายของคำว่าการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือคำว่าความมั่นคงทางอาหารให้กับชาวบ้านที่อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน ก็อาจจะไม่สามารถจะเข้าใจได้เลยว่ามีความสำคัญอย่างไร จนกระทั่งได้รับมอบลูกหมูให้หนึ่งคู่