ประเทศไทยประกาศความสำเร็จซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิตจากขยะเปียกชุมชนครั้งแรกของโลก
Photo by Giorgio Trovato on Unsplash
กระทรวงมหาดไทย ร่วมกับ UN Thailand พร้อมด้วยพันธมิตรภาคีเครือข่ายภาคเอกชนโดย KBANK ซึ่งสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านประเทศไทยและประชาคมมุ่งสู่ “สังคมคาร์บอนเป็นศูนย์” ประกาศความสำเร็จการซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิตขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 4 จังหวัดนำร่องเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ภายหลังสามารถจูงใจให้พี่น้องประชาชนมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคมด้วยการแยกขยะและจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อนที่สามารถแปลงกลับมาเป็นเงินทุนให้กับหมู่บ้านและชุมชนในราคาตันละ 260 บาท โดยเฟสแรกสามารถซื้อ-ขายและส่งมอบได้ 3,140 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า คิดเป็นมูลค่าได้กว่า 800,000 บาท ซึ่งเป็นรายได้ที่ชุมชนจะได้รับจากการขายคาร์บอนเครดิตในการดำเนินโครงการกลับคืนสู่ประชาชนและครัวเรือนที่เป็นเจ้าของคาร์บอนเครดิต เพื่อใช้เป็นทุนดำเนินโครงการพัฒนาตามความเห็นชอบของประชาคมในพื้นที่ต่อไป

โครงการถังขยะเปียกลดโลกร้อนนี้กระทรวงมหาดไทยโดยกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นได้ร่วมมือกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมาอย่างต่อเนื่องรวมเวลาได้ 10 ปีแล้ว โดยได้กำหนดขอบเขตของสภาพปัญหาและผลกระทบในทุกมิติ กำหนดและวาง Roadmap นำไปสู่แนวทางแก้ปัญหา และได้พัฒนารูปแบบถังขยะเปียกระบบเปิดต่อยอดสู่ “ถังขยะเปียกลดโลกร้อน” และที่มากไปกว่านั้น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยศาสตราจารย์ ดร.ชนาธิป ผาริโน จากภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมศาสตร์ ยังได้จับมือกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) กำหนดแนวนโยบายและการรับรองระเบียบวิธีการวิจัย (Methodology) ในการบริหารจัดการขยะของถังขยะเปียกลดโลกร้อน และส่งให้ อบก. รับรองคิดเป็นค่าคาร์บอนเครดิตร่วมกับหน่วยงานภายนอก นับเป็นครั้งแรกของโลกอีกเช่นกันที่สามารถสร้างมาตรวัดคาร์บอนเครดิตจากขยะเปียกชุมชนเป็นฐานให้เกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน ส่งเสริมการลดก๊าซเรือนกระจกในระดับครัวเรือนผ่านกลไกของรัฐและภาคประชาสังคมแบบบูรณาการแล้ว ยังส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นรูปธรรมได้อีกด้วย

โดยเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2565 กระทรวงมหาดไทย และ UN Thailand ได้ร่วมลงนามประกาศเจตนารมณ์มุ่งสร้างความยั่งยืนให้ชุมชน และได้กำหนดเป็นนโยบายให้ผู้ว่าราชการทั้ง 76 จังหวัด นายอำเภอทั้ง 878 อำเภอ กำนันทั้ง 7,255 ตำบล ได้นำไปปฏิบัติและร่วมกันขับเคลื่อนโครงการนี้ให้สำเร็จ ผลปรากฏว่าเมื่อครบ 1 ปี พบว่ามีจังหวัดนำร่อง 4 จังหวัด คือ จังหวัดลำพูน สมุทรสงคราม เลย และจังหวัดอำนาจเจริญ สามารถประกาศความสำเร็จได้ก่อน พร้อมขยายผลสู่อีก 22 จังหวัด ในปี 2566 รวมเป็น 26 จังหวัด โดยคาดว่าจะมีปริมาณคาร์บอนเครดิตที่ประเทศไทยจัดเก็บได้จากขยะเปียกนี้มากกว่า 2 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
คุณกีต้า ซับบระวาล (Gita Sabharwal) ผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย กล่าวชื่นชมความคิดริเริ่มต่าง ๆ อาทิ โครงการคัดแยกขยะที่เป็น “ตัวเร่ง SDGs” ช่วยให้ประเทศพัฒนาไปสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนตามวาระของชาติเรื่อง Bio – Circular – Green Economy : BCG (การพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพเศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจสีเขียว) โดยการซื้อขายคาร์บอนเครดิตครั้งแรกนี้คือหมุดหมายสำคัญจากการนำเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ไปปฏิบัติในระดับท้องถิ่นแบบทั้งองคาพยพ ทั้งภาครัฐ-สังคม 14 ล้านครัวเรือน ผู้ว่าราชการจังหวัด 76 จังหวัด กระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารธนาคาร และหน่วยงานสหประชาชาติ (United Nations) “สิ่งสำคัญ คือ การส่งเสริมประเทศให้มีต้นแบบตลาดซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิตที่โปร่งใสเป็นรูปธรรมด้วยการสนับสนุนอย่างจริงจังขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกตลอดมา”.
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยภูมิใจทีได้เป็นส่วนหนึ่งของประกาศความสำเร็จนี้ของประเทศไทยที่สามารถซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิตจากขยะเปียกชุมชนครั้งแรกของโลก และยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากของชุมชนให้แข็งแรงได้ง่าย ๆ จากการมุ่งสร้างจิตสำนึกรักษ์โลกและเปลี่ยนพฤติกรรมแยกขยะของครัวเรือนและชุมชนทั่วประเทศ


การร่วมประชุมติดตามความก้าวหน้าการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของกระทรวงมหาดไทย ร่วมกับปลัดกระทรวงมหาดไทย นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย และผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย



ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2566

ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2567




ที่มา
คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
รายละเอียดที่เกี่ยวข้อง:
SDG ที่เกี่ยวข้อง
อื่นๆ
การออกแบบอาคารเขียว ตามมาตรฐาน TREES กับการสร้างอาคารใหม่และการปรับปรุงอาคารของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอย่างยั่งยืน
ภายในพื้นที่ กว่า 1,153 ไร่ ในการดูแลของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นที่ตั้งของอาคารสำนักงาน ส่วนอาคารเรียน และอาคารที่ใช้เพื่อการสนับสนุนด้านการเรียนการสอนในพื้นที่ของมหาวิทยาลัยไม่ต่ำกว่า 200 อาคาร การใช้อาคารดังกล่าว มีการใช้พลังงานและทรัพยากรในการใช้งานและดูแลรักษาเป็นอย่างมาก เพื่อช่วยลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงให้ความสำคัญและกำหนดแนวทางในการก่อสร้างอาคารใหม่หรือการปรับปรุงอาคารที่มีอยู่ โดยส่งเสริมให้มีการออกแบบอาคารที่ช่วยประหยัดพลังงาน ประหยัดน้ำ และมีการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์และมีประสิทธิภาพสูงสุด
จุฬาฯ กับหลากหลายรูปแบบการเดินทางที่ยังยืน (Chula Smart Mobility)
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดย สำนักงานจัดการทรัพย์สิน (PMCU) ขับเคลื่อนโครงการ “สามย่านสมาร์ทซิตี้” (Samyan Smart City) ผ่าน “7 Smart” นำนวัตกรรมอัจฉริยะ 7มิติ ได้แก่ Smart Environment , Smart Mobility , Smart Living, Smart Energy, Smart Economy, Smart People และ Smart Governance รองรับไลฟ์สไตล์ใหม่ให้ประชาคมจุฬาฯ กว่า 50,000 คน
จุฬาฯ กับนโยบายและการลงทุนเพื่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์
Net Zero Greenhouse Gas Emissions หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ เป็นประเด็นที่ทั่วโลกให้ความสำคัญและมีการจัดการอย่างเร่งด่วน ตามมติการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ครั้งที่ 26 หรือ COP26 เมื่อปี 2021 (พ.ศ. 2564) ที่สนับสนุนเป้าหมายในการควบคุมอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส เพื่อป้องกันหายนะที่จะเกิดจากสภาวะอากาศสุดโต่ง
บริษัท ซียูเอ็นเทอร์ไพรส์ จำกัด จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
สนับสนุนการสร้างนวัตกร นวัตกรรม ผู้ประกอบการ และธุรกิจ ในประชาคมจุฬาฯ มุ่งสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมให้มีความสมบูรณ์




