กรณีศึกษา

ประเทศไทยประกาศความสำเร็จซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิตจากขยะเปียกชุมชนครั้งแรกของโลก

กระทรวงมหาดไทย ร่วมกับ UN Thailand พร้อมด้วยพันธมิตรภาคีเครือข่ายภาคเอกชนโดย KBANK ซึ่งสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านประเทศไทยและประชาคมมุ่งสู่ “สังคมคาร์บอนเป็นศูนย์”  ประกาศความสำเร็จการซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิตขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 4 จังหวัดนำร่องเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ภายหลังสามารถจูงใจให้พี่น้องประชาชนมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคมด้วยการแยกขยะและจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อนที่สามารถแปลงกลับมาเป็นเงินทุนให้กับหมู่บ้านและชุมชนในราคาตันละ 260 บาท โดยเฟสแรกสามารถซื้อ-ขายและส่งมอบได้ 3,140 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า คิดเป็นมูลค่าได้กว่า 800,000 บาท ซึ่งเป็นรายได้ที่ชุมชนจะได้รับจากการขายคาร์บอนเครดิตในการดำเนินโครงการกลับคืนสู่ประชาชนและครัวเรือนที่เป็นเจ้าของคาร์บอนเครดิต เพื่อใช้เป็นทุนดำเนินโครงการพัฒนาตามความเห็นชอบของประชาคมในพื้นที่ต่อไป

โครงการถังขยะเปียกลดโลกร้อนนี้กระทรวงมหาดไทยโดยกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นได้ร่วมมือกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมาอย่างต่อเนื่องรวมเวลาได้ 10 ปีแล้ว  โดยได้กำหนดขอบเขตของสภาพปัญหาและผลกระทบในทุกมิติ กำหนดและวาง Roadmap นำไปสู่แนวทางแก้ปัญหา และได้พัฒนารูปแบบถังขยะเปียกระบบเปิดต่อยอดสู่ “ถังขยะเปียกลดโลกร้อน” และที่มากไปกว่านั้น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยศาสตราจารย์ ดร.ชนาธิป ผาริโน จากภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมศาสตร์ ยังได้จับมือกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) กำหนดแนวนโยบายและการรับรองระเบียบวิธีการวิจัย (Methodology) ในการบริหารจัดการขยะของถังขยะเปียกลดโลกร้อน และส่งให้ อบก. รับรองคิดเป็นค่าคาร์บอนเครดิตร่วมกับหน่วยงานภายนอก นับเป็นครั้งแรกของโลกอีกเช่นกันที่สามารถสร้างมาตรวัดคาร์บอนเครดิตจากขยะเปียกชุมชนเป็นฐานให้เกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน ส่งเสริมการลดก๊าซเรือนกระจกในระดับครัวเรือนผ่านกลไกของรัฐและภาคประชาสังคมแบบบูรณาการแล้ว ยังส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นรูปธรรมได้อีกด้วย

โดยเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2565 กระทรวงมหาดไทย และ UN Thailand ได้ร่วมลงนามประกาศเจตนารมณ์มุ่งสร้างความยั่งยืนให้ชุมชน และได้กำหนดเป็นนโยบายให้ผู้ว่าราชการทั้ง 76 จังหวัด นายอำเภอทั้ง 878 อำเภอ กำนันทั้ง 7,255 ตำบล ได้นำไปปฏิบัติและร่วมกันขับเคลื่อนโครงการนี้ให้สำเร็จ ผลปรากฏว่าเมื่อครบ 1 ปี พบว่ามีจังหวัดนำร่อง 4 จังหวัด คือ จังหวัดลำพูน สมุทรสงคราม เลย และจังหวัดอำนาจเจริญ สามารถประกาศความสำเร็จได้ก่อน พร้อมขยายผลสู่อีก 22 จังหวัด ในปี 2566 รวมเป็น 26 จังหวัด โดยคาดว่าจะมีปริมาณคาร์บอนเครดิตที่ประเทศไทยจัดเก็บได้จากขยะเปียกนี้มากกว่า 2 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

คุณกีต้า ซับบระวาล (Gita Sabharwal) ผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย กล่าวชื่นชมความคิดริเริ่มต่าง ๆ อาทิ โครงการคัดแยกขยะที่เป็น “ตัวเร่ง SDGs” ช่วยให้ประเทศพัฒนาไปสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนตามวาระของชาติเรื่อง Bio – Circular – Green Economy : BCG (การพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพเศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจสีเขียว) โดยการซื้อขายคาร์บอนเครดิตครั้งแรกนี้คือหมุดหมายสำคัญจากการนำเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ไปปฏิบัติในระดับท้องถิ่นแบบทั้งองคาพยพ ทั้งภาครัฐ-สังคม 14 ล้านครัวเรือน ผู้ว่าราชการจังหวัด 76 จังหวัด กระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารธนาคาร และหน่วยงานสหประชาชาติ (United Nations) “สิ่งสำคัญ คือ การส่งเสริมประเทศให้มีต้นแบบตลาดซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิตที่โปร่งใสเป็นรูปธรรมด้วยการสนับสนุนอย่างจริงจังขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกตลอดมา”.

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยภูมิใจทีได้เป็นส่วนหนึ่งของประกาศความสำเร็จนี้ของประเทศไทยที่สามารถซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิตจากขยะเปียกชุมชนครั้งแรกของโลก และยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากของชุมชนให้แข็งแรงได้ง่าย ๆ จากการมุ่งสร้างจิตสำนึกรักษ์โลกและเปลี่ยนพฤติกรรมแยกขยะของครัวเรือนและชุมชนทั่วประเทศ

การร่วมประชุมติดตามความก้าวหน้าการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของกระทรวงมหาดไทย ร่วมกับปลัดกระทรวงมหาดไทย นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย และผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย

การเข้าร่วมพิธีซื้อขายคาร์บอนเครดิต
ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2566
การเข้าร่วมพิธีซื้อขายคาร์บอนเครดิต
ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2567
การเข้าร่วมประชุมขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของสมาคมแม่บ้านมหาดไทย วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566
การเข้าร่วมประชุมแม่บ้านมหาดไทยสัญจร ครั้งที่ 4 วันที่ 28 มีนาคม 2567 ณ จังหวัดบุรีรัมย์
การเข้าร่วมเสวนาในหัวข้อ“ความสำเร็จการคัดแยกขยะและการ ขับเคลื่อนโครงการธนาคารขยะรีไซเคิลชุมชน”ในงานหุ้นส่วนการ พัฒนาระหว่างสหประชาชาติประจำประเทศไทยและกระทรวง มหาดไทยสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2566 ณ ศูนย์การประชุมสหประชาชาติ ประจำประเทศไทย
การเข้าร่วมงานประกาศความสำเร็จสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของกระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2567

ที่มา

คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

รายละเอียดที่เกี่ยวข้อง:

อื่นๆ

รายงานสถิติจำนวนนิสิตที่เข้าศึกษาที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปีการศึกษา 2567

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยตระหนักถึงความสำคัญของการส่งเสริมความเท่าเทียมและการเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาอย่างทั่วถึงสำหรับทุกกลุ่มประชากร จึงได้ดำเนินการจัดเก็บและติดตามข้อมูลนิสิตในกลุ่มต่าง ๆ ที่เริ่มเข้าศึกษาในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในแต่ละปีการศึกษา เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลในการวิเคราะห์แนวโน้ม การวางแผนนโยบาย และการดำเนินมาตรการสนับสนุนกลุ่มผู้ด้อยโอกาส

สุขภาพดีถ้วนหน้า จุฬาฯ จัดให้

จุฬาฯ จัดพื้นที่ออกกำลังกายเพื่อให้กับนิสิต บุคลากรและประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงพื้นที่ออกกำลังกายโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ตามนโยบายของจุฬาฯ ที่มุ่งสนับสนุนและส่งเสริมสุขภาพประชาชน แก้ปัญหากิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ

เนินชะลอความเร็ว (Speed Hump) การสร้างพื้นที่เพื่อส่งเสริมการเดินเท้าในมหาวิทยาลัย

พื้นที่ภายในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นพื้นที่ที่มีความร่มรื่น และการเดินทางไปยังอาคารต่างๆ ก็สามารถทำได้โดยไม่ลำบาก มหาวิทยาลัยจึงสนับสนุนการเดินเท้าในมหาวิทยาลัย และยังมีการออกแบบและจัดทำ และเนินชะลอความเร็วขึ้นในจุดทางข้าม ผสมผสานเข้ากับการทำเป็นทางม้าลาย ในหลายจุดทั่วทั้งมหาวิทยาลัย

คณะทำงานด้านความยั่งยืนของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยตระหนักและให้ความสำคัญกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืนเป็นอย่างมาก เห็นได้จากการกำหนดเป็นยุทธศาสตร์ด้านหนึ่งของมหาวิทยาลัย คือ ยุทธศาสตร์ Impactful Growth และมีการสื่อสารถ่ายทอดยุทธศาสตร์นี้ลงไปยังหน่วยงานระดับต่าง ๆ ภายในมหาวิทยาลัย รวมทั้งการกำหนดให้เป็นหนึ่งใน OKR หลักของมหาวิทยาลัยด้วย

ไอคอน PDPA

เราใช้คุกกี้เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของคุณ (ตั้งค่า)

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

Accept All
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • Necessary cookies
    เปิดใช้งานตลอด

    Necessary cookies are essential for the functioning of the website, allowing you to use and browse the site normally. You cannot disable these cookies in our website's system.

  • คุกกี้วิเคราะห์เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การใช้งาน

    คุกกี้เหล่านี้ใช้เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งานเว็บไซต์ เช่น จำนวนผู้เข้าชม, หน้าเว็บที่ได้รับความนิยม และพฤติกรรมการท่องเว็บ ซึ่งช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์ปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ได้

  • คุกกี้การทำงานเพื่อจดจำการตั้งค่าผู้ใช้

    คุกกี้เหล่านี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานเว็บไซต์ โดยจดจำการตั้งค่าที่ผู้ใช้เคยกำหนดไว้ เช่น ชื่อผู้ใช้, ภาษา, ภูมิภาค หรือการปรับแต่งเว็บไซต์ตามความต้องการ

Save