กรณีศึกษา

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกับภารกิจสู้วิกฤตน้ำมันรั่วไหลพิทักษ์ท้องทะเลไทย

ปัญหาระบบนิเวศชายฝั่งทะเลไทยได้รับผลกระทบจากการรั่วไหลของน้ำมันดิบหลากหลายรูปแบบยังคงได้รับความสนใจจากประชาชนในวงกว้างทุกครั้งที่ถูกนำเสนอโดยสื่อมวลชน  เพราะในทุกปี ผู้คนที่อาศัยอยู่ใกล้ชายฝั่งหรือบริเวณป่าชายเลนในประเทศไทยจะพบคราบน้ำมันและก้อนน้ำมันบนชายฝั่งซึ่งเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม สิ่งมีชีวิต และกระทบการท่องเที่ยวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ข้อมูลจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) โดยสถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเล ชายฝั่งทะเล และป่าชายเลน ที่ติดตามตรวจสอบการปนเปื้อนของน้ำมันในทะเล ตลอดแนวชายฝั่งทะเลทั้งอ่าวไทยและอันดามัน นับตั้งแต่ปี 2557 จนถึงปัจจุบัน พบคราบน้ำมันที่ไม่ทราบที่มารวมทั้งสิ้น 44 ครั้ง โดยพบในพื้นที่อ่าวไทยฝั่งตะวันออกจาก จ.ตราด ถึง จ.ชลบุรี ถึง 30 ครั้ง อีกทั้งข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษยังพบว่าเฉพาะปี 2560 และ 2561 พบคราบน้ำมันและคราบน้ำมันดินบนเกาะต่าง ๆ มากกว่า 10 ครั้ง ในบริเวณเกาะต่าง ๆ เช่น เกาะสมุย เกาะพะงัน ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ชายหาดทุ่งซาง จ.ชุมพร ชายหาดทุ่งประดู่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ และชายหาดแม่รำพึง จ.ระยอง ซึ่งยังไม่สามารถสืบหาแหล่งที่มาของก้อนน้ำมันและคราบเหล่านี้ได้ แหล่งที่มาของคราบน้ำมันและก้อนน้ำมันดินจำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบเพื่อหาผู้รับผิดชอบต่อความเสียหายทางระบบนิเวศ วิทยาลัยปิโตรเลียมและปิโตรเคมี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงได้ดำเนินโครงการระบุลายนิ้วมือ ของคราบน้ำมันและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง โดยเริ่มวิเคราะห์น้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องมาตั้งแต่ปี 2554 เพื่อระบุแหล่งที่มาของน้ำมันดิบ ภายหลังเหตุการณ์การรั่วไหลของน้ำมันในอ่าวไทย

รองศาสตราจารย์ ดร.ศิริพร จงผาติวุฒิ อาจารย์ประจำวิทยาลัยปิโตรเลียมและปิโตรเคมี กล่าวว่า “เราใช้มาตรฐานสากลศึกษาและพัฒนากระบวนการเพื่อระบุที่แหล่งที่มาของคราบน้ำมัน โดยวิเคราะห์ไบโอมาร์คเกอร์ซึ่งเปรียบเสมือนลายนิ้วมือของน้ำมัน ซึ่งคาดเดาชนิดและแหล่งที่มาได้ นอกจากนี้ คราบน้ำมันเหล่านี้ที่ลอยอยู่ในน้ำจะทำปฏิกิริยากับออกซิเจน ลดปริมาณออกซิเจนในน้ำ ปิดกันการสังเคราะห์แสงในแพลงก์ตอน สาหร่ายทะเล และพืชทะเลอื่น ๆ สร้างการเปลี่ยนแปลงต่อสภาวะการย่อยสลายของแบคทีเรียในน้ำ ซึ่งล้วนแต่มีผลเสียต่อสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้น เช่น ปลา สัตว์หน้าดิน ปะการัง รวมถึงนกน้ำด้วยซึ่งทำให้เกิดการสะสมสารพิษในห่วงโซ่อาหารที่เริ่มตั้งแต่แพลงก์ตอนจนถึงสัตว์ทะเลจนและถึงผู้บริโภคสุดท้ายคือมนุษย์ นอกจากนั้นก็ยังส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว ประมง และการเพราะเลี้ยงสัตว์น้ำด้วย”

โดยในก้อนน้ำมันนั้นมีสารไบโอมาร์กเกอร์เป็นสารที่คงทนไม่ย่อยสลายในสภาพแวดล้อมเช่นในทะเล ซึ่งสามารถวิเคราะห์ได้โดยใช้เครื่องแก๊สโครมาโทกราฟี-แมสสเปกโตรมิเตอร์แบบ  2 มิติ (GCxGC TOFMS) ซึ่งเป็นเทคนิคเดียวที่สามารถแยกสารไบโอมาร์กเกอร์ที่มีองค์ประกอบซับซ้อนได้และให้ผลที่ถูกต้องแม่นยำ ดังนั้น การวิเคราะห์ตัวอย่างเพื่อระบุแหล่งที่มาของก้อนน้ำมันหรือน้ำมันดิบอย่างมีประสิทธิภาพจึงจำเป็นต้องมีฐานข้อมูลลายนิ้วมือและลักษณะอื่น ๆ ของน้ำมันหลากหลายประเภทต่างมาใช้เปรียบเทียบ

และเพื่อเตรียมความพร้อมให้กับประเทศไทยพร้อมพิสูจน์แหล่งที่มาของคราบน้ำมัน เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2561 จึงได้เกิดข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เรื่องการพัฒนาฐานข้อมูลลายนิ้วมือน้ำมันดิบ และผลิตภัณฑ์น้ำมันที่เกี่ยวข้องในประเทศไทยกับทั้งหน่วยงานรัฐและเอกชนร่วมเป็นภาคีเครือข่าย 10 แห่ง ประกอบด้วย กรมควบคุมมลพิษ กรมเจ้าท่า กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยโดยวิทยาลัยปิโตรเลียมและปิโตรเคมี บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กรมศุลกากร กระทรวงการคลัง ศูนย์ประสานการปฏิบัติในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลในส่วนของกองทัพเรือ สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) และสมาคมอนุรักษ์สภาพแวดล้อมของกลุ่มอุตสาหกรรมน้ำมัน ซึ่งได้กำหนดบทบาทสำคัญให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยทำหน้าที่วิเคราะห์ลายนิ้วมือน้ำมัน และจัดทำฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (big data) ในฐานะที่มีความเชี่ยวชาญและมีเทคโนโลยีการวิเคราะห์โดยตรง

ทั้งนี้ ข้อมูลจะถูกรวบรวมและใช้โดยการเรียนรู้ของเครื่องสำหรับการวิเคราะห์ 2D-GC ของน้ำมัน น้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง โดยจะถูกแยกประเภทโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ในรูปแบบการเรียนรู้เชิงลึก (Deep learning) กระบวนการระบุตัวตนนี้จะช่วยแก้ปัญหาการลักลอบทิ้งน้ำมันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเชื่อมโยงการรั่วไหลไปยังผู้กระทำผิดในกรณีที่ต้องชดใช้ค่าเสียหาย เพราะเมื่อเกิดเหตุขึ้น คราบน้ำมันจะกระจายตัวออกไปซึ่งโดยร้อยละ 80 ไม่ทราบที่มาว่ามาจากไหน

ปัจจุบันประเทศไทยนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ 99 แหล่งทั่วโลก และมีบริษัทน้ำมัน 23 แห่งที่ทำธุรกิจนำเข้า ตัวอย่างน้ำมันของบริษัทเหล่านี้ถูกรวบรวมและวิเคราะห์เพื่อเปรียบเทียบกับตัวอย่างจากคราบน้ำมันหรือก้อนน้ำมันเพื่อระบุตัวตน หาตัวมาร์คเกอร์ (MARKERS) ซึ่งเป็นสารเคมีหรือกลุ่มสารเคมีที่มีลักษณะเฉพาะของซากสิ่งมีชีวิตที่เกิดจากการทับถมก่อกำเนิดเป็นปิโตรเลียม ซึ่งลักษณะเฉพาะเจาะจงในแต่ละแหล่งปิโตรเลียมนี้คือ “Oil Finger Print” ลายนิ้วมือที่จะสืบหาต้นตอต่อไป

ล่าสุดเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2566 นายปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ได้จัดอบรมพัฒนาศักยภาพบุคลากรทางวิชาการในการจัดการมลพิษเนื่องจากน้ำมันและภาคธุรกิจในอุตสาหกรรมน้ำมัน จำนวน 220 คน จากภาคีเครือข่ายทั้ง 10 แห่งภายใต้ MOU นี้ เพื่ออัพเดทสถานการณ์และองค์ความรู้เกี่ยวกับการบริหารจัดการการเดินทางของน้ำมัน แหล่งที่มาของน้ำมัน การนำไปใช้ประโยชน์ การป้องกันการรั่วไหล ตลอดจนการแก้ไขปัญหาเมื่อมีการรั่วไหล โดยให้คณาจารย์ประจำวิทยาลัยปิโตรเลียมและปิโตรเคมี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่มีประสบการณ์และติดตามสถานการณ์น้ำมันรั่วไหลในประเทศไทยอย่างใกล้ชิดเป็นผู้ถ่ายทอดองค์ความรู้และฝึกอบรมแนวทางการประยุกต์ใช้คู่มือการเก็บและวิเคราะห์ตัวอย่างน้ำมัน คราบน้ำมัน และก้อนน้ำมันดิน

ดังนั้น การมีฐานข้อมูล “Oil Finger Print” ที่เก็บรวบรวมโดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนั้นจึงได้ช่วยสร้างความเชื่อมั่นจากทุกภาคส่วนและกระตุ้นให้ผู้ประกอบการธุรกิจน้ำมันจัดการน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องดำเนินธุรกิจอย่างรัดกุม นอกจากนี้ แผนการป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำของการปนเปื้อนของน้ำมันในพื้นที่อ่อนไหวยังจะช่วยบรรเทาผลกระทบด้านลบต่อระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ ช่วยให้ข้อกฎหมายหรือนโยบายต่าง ๆ ถูกพิจารณาและแก้ไขให้มีความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งช่วยลดข้อพิพาทจากการกล่าวอ้างหรือกล่าวโทษต่อผู้อื่นและหาผู้รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้

ที่มา

วิทยาลัยปิโตรเลียมและปิโตรเคมี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

อื่นๆ

การวิเคราะห์ลายนิ้วมือน้ำมันดิบ ติดตามมลพิษ: วิทยาลัยปิโตรเลียมและปิโตรเคมีทำงานเพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่กำลังเพิ่มขึ้น

ทุกๆ ปี ผู้คนที่อาศัยอยู่ใกล้ชายฝั่งหรือบริเวณป่าชายเลนในประเทศไทยจะพบคราบน้ำมันและก้อนน้ำมันบนชายฝั่ง ซึ่งเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม สิ่งมีชีวิต และกระทบการท่องเที่ยว โดยในช่วงหลังๆ ปริมาณก้อนน้ำมันที่พบเห็นเพิ่มมากขึ้น แสดงให้เห็นถึงปัญหาที่เลวร้ายมากขึ้น

CU Innovations for Society ภารกิจกู้วิกฤติโควิด-19 เพื่อคนไทย

เมื่อโลกถูกเขย่าอย่างรุนแรงด้วยเชื้อไวรัสที่แพร่ระบาดกลายเป็นโรคอุบัติใหม่ “โควิด-19” ปลุกให้หลายประเทศจำเป็นต้องลุกขึ้นมารับมือกับโรคร้ายนี้เพื่อดูแลประชาชนคนในชาติของตนรวมถึงประเทศไทยของเราด้วย

ความร่วมมือในการสำรวจระดับนานาชาติ “ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมและการรับรู้ผลกระทบจากโรคโคโรน่าไวรัส 2019 (โควิด-19)”

วิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาฯ ได้รับความไว้วางใจและร่วมมือกับสมาคมมหาวิทยาลัยภาคพื้นแปซิฟิก (APRU) ในการสำรวจระดับนานาชาติ “ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมและการรับรู้ผลกระทบจากโรคโควิด-19 (COVID-19)” โดยมุ่งเน้นการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกและประเมินผลกระทบของโรคโควิด-19  ซึ่งมุ่งหวังที่จะช่วยในการพัฒนาแนวทางในการจัดการกับการระบาดของโรคโควิด-19 และเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการจัดการต่อโรคระบาดที่คล้าย ๆ กัน ในอนาคต

การดำเนิการตามแนวพระราชดำริ: ส่งต่อความหลากหลายทางระบบนิเวศสู่คนรุ่นหลัง

“การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติไม่ได้หมายถึงการเก็บเอาไว้ไม่ให้ใครเข้าถึง แต่หมายถึงการรักษาไว้อย่างยั่งยืนเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม”

ไอคอน PDPA

เราใช้คุกกี้เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของคุณ (ตั้งค่า)

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

Accept All
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • Necessary cookies
    เปิดใช้งานตลอด

    Necessary cookies are essential for the functioning of the website, allowing you to use and browse the site normally. You cannot disable these cookies in our website's system.

  • คุกกี้วิเคราะห์เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การใช้งาน

    คุกกี้เหล่านี้ใช้เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งานเว็บไซต์ เช่น จำนวนผู้เข้าชม, หน้าเว็บที่ได้รับความนิยม และพฤติกรรมการท่องเว็บ ซึ่งช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์ปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ได้

  • คุกกี้การทำงานเพื่อจดจำการตั้งค่าผู้ใช้

    คุกกี้เหล่านี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานเว็บไซต์ โดยจดจำการตั้งค่าที่ผู้ใช้เคยกำหนดไว้ เช่น ชื่อผู้ใช้, ภาษา, ภูมิภาค หรือการปรับแต่งเว็บไซต์ตามความต้องการ

Save