กรณีศึกษา

กล่องรอดตาย – หอผู้ป่วยเสมือน

COVID-19 เป็นโรคระบบทางเดินหายใจสามารถทำให้เกิดอาการได้หลากหลาย ตั้งแต่ไม่แสดงอาการ ไปจนถึงเสียชีวิตได้ อาการที่พบบ่อยที่สุดคือ มีไข้ ไอ และอ่อนเพลีย สำหรับผู้ป่วยที่มีอายุมากหรือเป็นโรคอื่นๆ อยู่ เช่น เบาหวาน มีแนวโน้มที่จะมีอาการรุนแรง โรค COVID-19 เป็นโรคที่มีการแพร่กระจายทางอากาศ ในช่วงการระบาดของโควิด-19 โรงพยาบาลมีผู้ป่วยหนักจำนวนมาก ผู้ที่มีอาการเล็กน้อยถึงปานกลางสามารถดูแลตัวเองได้ที่บ้าน แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยบางรายมีโอกาสเกิดอาการรุนแรงได้ในเวลาต่อมา การติดตามอาหารและสัญญาณชีพสำหรับผู้ป่วยกลุ่มนี้จึงมีความจำเป็น

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยตระหนักถึงความจำเป็นในการมีระบบดูแลสุขภาพของผู้ป่วยเหล่านี้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงได้ร่วมมือกับสมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ บริษัท The Sharpener  เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มกล่องรอดตาย ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลด้านการดูแลสุขภาพที่มีวอร์ดเสมือนจริง เมื่อผู้ป่วยลงทะเบียนในระบบกล่องรอดตาย  กล่องรอดตายจะถูกส่งไปยังบ้านผู้ป่วยภายใน 24 ชั่วโมง ภายในกล่องรอดตาย มีเวชภัณฑ์พื้นฐานและอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับติดตามสัญญาณชีพของผู้ป่วย COVID-19 ที่กำลังกักตัว แพลตฟอร์มกล่องรอดตายเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชั่น LINE ที่เชื่อมต่อกับระบบหอผู้ป่วยเสมือน ซึ่งแอปพลิเคชั่นนี้เป็นแอปพลิเคชั่นเพื่อการสื่อสารที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศไทย ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถส่งข้อมูลทางการแพทย์ สัญญาณชีพ และได้อย่างสะดวกสบาย โดยไม่จำเป็นต้องติดตั้งแอปพลิเคชั่นเพิ่มเติม

ผู้ป่วยในหอผู้ป่วยเสมือนจะได้รับการดูแลโดยอาสาสมัครที่ผ่านการฝึกอบรม อาสาสมัครเหล่านี้พร้อมให้ความช่วยเหลือในกรณีฉุกเฉิน และรวมถึงยังมีแพทย์อาสาที่ให้คำแนะนำเกี่ยวกับสัญญาณทางคลินิกที่ผิดปกติ ผู้ป่วยที่กักตัวที่บ้านสามารถเข้าถึงการดูแลที่จำเป็นในการจัดการสุขภาพของผู้ป่วยได้ แพลตฟอร์มกล่องรอดตายยังมีระบบ E-learning เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยได้ทำความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับโรค COVID-19 วิธีการใช้อุปกรณ์ในกล่องเพื่อวัดสัญญาณชีพ ค่าของสัญญาณชีพที่วิกฤติ วิธีดูแลตัวเองขณะป่วย และวิธีรับประทานยาอย่างถูกต้อง

ในระหว่างวันที่ 7 มกราคม ถึง 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 มีการแจกกล่องรอดตายแก่นิสิต บุคลากร และนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รวม 4,521 กล่อง และยังได้มอบกล่องรอดตายจำนวน 5,900 กล่องให้กับประชาชนทั่วไป รวมถึงผู้อพยพและผู้ลี้ภัย โครงการกล่องรอดตายนี้ไม่ได้ดำเนินการเฉพาะในกรุงเทพฯ เท่านั้น ยังกระจายไปยังพื้นที่อื่นๆ เช่น จังหวัดราชบุรีและกระบี่ ระบบกล่องรอดตายซึ่งใช้ได้ผลดีในการดูแลผู้ป่วย COVID-19 ในช่วงที่เกิดโรคระบาดนั้น สามารถนำไปปรับใช้ในการดูแลผู้ป่วยโรคอื่นๆ ได้อีกด้วย

ที่มา: Siamrath online
[ https://siamrath.co.th/n/314931 ]

ที่มา:   สมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์

รายละเอียดที่เกี่ยวข้อง:

อื่นๆ

ธนาคารปูม้า เกาะสีชัง ต้นแบบศูนย์เรียนรู้เพิ่มทางรอดปูม้าไทยคืนสู่ท้องทะเล

เมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2563 มีชาวประมงที่จับปูม้าที่ท้องนอกกระดองมาให้ ศูนย์เรียนรู้ธนาคารปูม้าบนบก อำเภอเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี เป็นจำนวน 457 ตัว เพื่อเพาะเป็นลูกปูม้า ศูนย์สามารถดูแลปูไข่จนลูกปูม้าถึง 565,219,724 ตัว และแม้ลูกปูม้าจะมีเปอร์เซนต์รอดชีวิตที่ 40-60% ศูนย์ก็ยังสามารถเอาลูกปูม้าไปปล่อยในทะเลได้มากเกินกว่า

ร่วมมือกับ NGOs เพื่อขับเคลื่อน SDGs ผ่านกิจกรรมการอาสาสมัครของนิสิต

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีวิสัยทัศน์ในการเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนในหลายๆ ด้าน ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม สังคม และเศรษฐกิจ ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับเป้าหมาย SDGs ทั้งหมด จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยร่วมมือกับหลายองค์กร ทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ และองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร(NGOs) โดยนิสิตมีบทบาทสำคัญในการผลักดันเป้าหมาย SDGs ในด้านต่างๆ โดยเข้าร่วมในโครงการอาสาสมัครต่างๆ

อุทยาน 100 ปี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ป่ากลางเมือง พื้นที่สีเขียวเพื่อชุมชนที่ใครๆ ก็เข้าถึงได้

พื้นที่สีเขียวใจกลางเมืองบนพื้นที่กว่า 29 ไร่ ของจุฬาฯ อันเกิดขึ้นจากนโยบายการสร้างเมือง GREEN & CLEAN CITY และเพื่อเป็นการตามรอยพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  ในการพระราชทานที่ดินให้แก่จุฬาฯ เพื่อให้เป็นพื้นที่สำหรับการเรียนรู้และคืนประโยชน์สู่สังคมส่วนร่วม โดยก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้เข้าใช้งานได้ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2560 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน

หลากหลายกิจกรรมการศึกษาเพื่อสร้างความยั่งยืนของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่จัดสู่ชุมชนและสังคม

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในฐานะสถาบันการศึกษา มุ่งเน้นใช้องค์ความรู้ที่มีหลากหลายศาสตร์ในการพัฒนาชุมชนและสังคมให้ดีขึ้น การดำเนินการด้านหนึ่งของมหาวิทยาลัยจึงได้ดำเนินการจัดกิจกรรมด้านการศึกษาให้กับสังคมในวงกว้างทั้งกับกลุ่มศิษย์เก่า ประชาชนทั่วไป ผู้อยู่อาศัยในท้องถิ่น ผู้พลัดถิ่นเพื่อให้ส่งเสริมให้คนทุกกลุ่มมีความรู้ในการดูแลตนเอง และสามารถเป็นกำลังคนที่มาช่วยในการพัฒนาชุมชนและสังคมต่อไปได้ รวมทั้งเป็นการช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคมด้วย