กรณีศึกษา

เทคโนโลยีราไมคอร์ไรซาเพื่อการปลูกและฟื้นฟูป่าอย่างสร้างสรรค์และยั่งยืนในทุกพื้นที่ของประเทศไทย

ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ตามรายงานของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร้อยละ 31-33 ของประเทศไทยเป็นพื้นที่สีเขียว ประเทศไทยให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูและปกป้องผืนป่าโดยกำหนดยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ.2561-2580) วางเป้าหมายในการขยายพื้นที่ป่าให้เป็นร้อยละ 40 ของพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งป่าเศรฐกิจและการจัดการนิเวศของป่าชุมชนที่มีอยู่กว่า 10,000 แห่ง ภายในและภายนอกเขตพื้นที่อนุรักษ์ ป่าเหล่านี้ครอบคลุมพื้นที่ถึง 7,870,000 ไร่ หรือร้อยละ 7 ของป่าสงวนแห่งชาติของประเทศไทย

ในปี 2561-2562 พื้นที่ป่าไม้ในประเทศไทยมีอยู่ที่ 102,484,072.71 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 31.68 ของพื้นที่ทั่วประเทศ ไฟป่าที่เกิดจากสภาพแห้งแล้งหรือการลักลอบเผาป่าเพื่อการใช้ประโยชน์เป็นปัญหาสำคัญในการอนุรักษ์ผืนป่าไทย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานว่า ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2562 ถึงเมษายน 2563 ป่าไม้ของไทยถูกเผาไปแล้ว 170,835 ไร่ โดยมากกว่า 3 ใน 4 อยู่ในพื้นที่ภาคเหนือ

การเผาป่าชุมชนเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ภาวะโลกรวนทวีความรุนแรงขึ้น ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อการฟื้นฟูป่าที่ทำได้ยากขึ้นเนื่องด้วยเพราะความชื้น ธาตุอาหาร รวมไปถึงเชื้อจุลินทรีย์พื้นถิ่นในดินตามธรรมชาติได้ถูกทำลายไปพร้อมกับไฟป่า นอกจากนั้นการลักลอบเผาป่าชุมชนยังสร้างปัญหาการแพร่กระจายของฝุ่นจิ๋ว PM 2.5 ในชั้นบรรยากาศกลายเป็นหมอกควันพิษให้กลับมาทำลายสุขภาพของคนในพื้นที่เองอีกด้วย

ที่มา: NSRF THAILAND
[ https://www.youtube.com/watch?v=dtTK1B9s1D0 ]

พื้นที่ป่าไม้ที่เสียหายไปจำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟู โดยในเบื้องต้นการปรับหน้าดินเป็นสิ่งที่สำคัญ ภาควิชาพฤกษศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะวิทยาศาสตร์ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านจุลินทรีย์ในดิน ได้เสนอแนวทางที่ดีในการฟื้นฟูป่าในท้องถิ่น ในปี พ.ศ. 2548 โครงการพัฒนาท้องถิ่นได้ศึกษาเชื้อเห็ดราไมคอร์ไรซาในป่าเต็งรังและป่าต้นน้ำในจังหวัดน่าน โดยทดลองนำเชื้อเห็ดราไมคอร์ไรซาและจุลินทรีย์ท้องถิ่นชนิดต่าง ๆ มาผสมในดินและกล้าไม้พื้นถิ่นของจังหวัดน่านในกลุ่มไม้วงศ์ยาง เช่น ยางนา เต็ง รัง เหียง พลวง เป็นต้น เพื่อเพิ่มปริมาณจุลินทรีย์ในดิน และช่วยเพิ่มอัตราการการรอดหลังย้ายปลูกทำให้พืชเจริญเติบโตได้ดี มีความแข็งแรงทนต่อสภาวะที่ไม่เอื้อในการดำรงชีวิต ซึ่งแนวทางนี้เป็นการเพิ่มพื้นที่ป่าไม้พื้นถิ่นตามธรรมชาติโดยคำนึงถึงระบบนิเวศ

จากความสำเร็จของโครงการฯ ที่สามารถพัฒนากล้าไม้พื้นถิ่นที่มีราไมคอร์ไรซา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงขยายผลงานวิจัย ผลิตกล้าไม้คุณภาพนำแจกจ่ายให้หน่วยงานต่าง ๆ ในจังหวัดน่านเพื่อร่วมกันฟื้นฟูป่าต้นน้ำ และขยายผลต่อยอดการดำเนินงานไปยังพื้นที่ป่าชุมชนกว่า 3,000 ไร่ ในโครงการจัดตั้งสำนักงานจัดการพื้นที่จุฬาฯ-สระบุรี อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี พัฒนาขึ้นเป็นโครงการต้นแบบ “การประยุกต์ใช้เห็ดไมคอร์ไรซาในการปลูกป่าไม้วงศ์ยางเพื่อฟื้นฟูป่าและระบบนิเวศ” โดยได้รับการสนับสนุนทุนจากสำนักงานวิจัยแห่งชาติ (วช.) เพื่อจัดอบรมถ่ายทอดองค์ความรู้ให้หน่วยงานภาครัฐ ชุมชน และประชาชนที่สนใจ ในปี พ.ศ. 2560

ที่มา: Sustainability Expo
[ https://www.youtube.com/watch?v=HoHr8uaIBB0 ]

ต่อมาในปี พ.ศ. 2561 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยังได้ขยายองค์ความรู้ฟื้นฟูป่าพื้นถิ่นไปสู่พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ของไทย โดยได้รับทุนสนับสนุนจากหน่วยงานระดับนานาชาติ  “The Mushroom Initiative Limited, Hong Kong” พัฒนาโครงการ “การใช้ราไมคอร์ไรซาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปลูกไม้ป่าพื้นถิ่นของไทย” โดยมีภาคีเครือข่ายสำคัญอย่างมูลนิธิฟื้นฟูป่าพื้นถิ่นในการรณรงค์ปลูกป่าพื้นถิ่นร่วมจัดอบรมถ่ายทอดองค์ความรู้ให้หน่วยงานภาครัฐ ชุมชน ประชาชน สร้างแปลงสาธิตการใช้ราไมคอร์ไรซาฟื้นฟูป่าพื้นถิ่นทั้งในจังหวัดหนองบัวลำภู ซึ่งได้รับความร่วมมือจากองค์การบริหารส่วนตำบลอุทัยสวรรค์ อำเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลำภู และพื้นที่โรงเรียนบ้านคลองยางและชุมชนตำบลคลองยาง อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ เกิดเป็นภาคีเครือข่ายที่เข้มแข็งโดยมี “The Mushroom Initiative Limited, Hong Kong” เป็นพันธมิตรร่วมภารกิจขยายผลไปยังพื้นที่ใหม่อีก 10 แห่งทั่วประเทศไทยและอีก 1 พื้นที่ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) โดยได้จัดเตรียมข้อมูลที่จำเป็นประกอบการติดตามไม้พื้นถิ่นที่ปลูกไว้ในแต่ละพื้นที่เพื่อประเมินและรับมือกับภัยแล้งรุนแรงที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ผ่านการพัฒนาช่องทางประชาสัมพันธ์ที่ให้ประชาชนผู้สนใจสามารถเข้าถึงองค์ความรู้ได้ง่ายหลายช่องทาง อาทิ เว็บไซต์ Facebook เป็นต้น

ตลอดการดำเนินโครงการฯ ในช่วง 3 ปี ที่ผ่านมา พบว่ากล้าไม้พื้นถิ่นที่ปลูกไว้เจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์ดี ทั้งปริมาณความชื้นและแสงแดดที่เหมาะสมกับระบบนิเวศในพื้นที่ และยังช่วยลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศอันมีสาเหตุมาจากภาวะโลกรวน นำมาสู่การดำเนินงานในปี พ.ศ. 2562 จนถึงปัจจุบันที่ได้รับการสนับสนุนจากภาคีเครือข่าย “ชมรมผู้ได้รับพระราชทานทุนมูลนิธิอนันทมหิดล” ร่วมกับ “กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม” นำความสำเร็จที่ได้กลับมาแก้ปัญหาละออง PM2.5 ในพื้นที่ภาคเหนือที่เกิดจากการเผาป่าในพื้นที่สำคัญ 2 แห่ง ได้แก่ พื้นที่ป่าอำเภอลี้ จังหวัดลำพูน และเขตอุทยานแห่งชาติแม่ปิง ภายใต้โครงการ “นวัตกรรมเห็ดเผาะลดไฟป่าหมอกควัน สร้างป่า…สร้างรายได้” สร้างความรู้ความเข้าใจ และส่งเสริมให้ประชาชนในพื้นที่ให้ตระหนักถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากไฟป่า พร้อมถ่ายทอดองค์ความรู้จากต้นแบบความสำเร็จของงานวิจัยการใช้ราไมคอร์ไรซาที่สามารถสร้างดอกเห็ดที่กินได้ อาทิ เห็ดเผาะ เห็ดตะไค เห็ดระโงก เห็ดน้ำหมาก รวมถึงเห็ดป่าอื่น ๆ นำมาใช้ฟื้นฟูป่าที่นอกจากจะได้ความหลากหลายทางชีวภาพกลับมาแล้วยังได้เห็ดที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ สร้างรายได้ใหม่ให้ครัวเรือนได้อีกด้วย ถือเป็นกุศโลบายสร้างแรงจูงใจให้คนในพื้นที่หันมาใช้ไม้พื้นถิ่นร่วมกันฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าได้อย่างยั่งยืน

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ส่งต่อความยั่งยืนไปยังกองทัพภาคที่ 2 กองบัญชาการกองทัพไทย ให้นำองค์ความรู้การใช้ราไมคอร์ไรซาฟื้นฟูป่าพื้นถิ่นภายใต้โครงการทหารพันธุ์ดี ณ ศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตำบลหนองไผ่ล้อม อำเภอเมืองฯ จังหวัดนครราชสีมา เพื่อส่งเสริมเกษตรกรรม ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม และพัฒนาคุณภาพชีวิต หนึ่งทศวรรษของการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมโดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและกลุ่มอื่นๆ ได้เสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับการปลูกป่าในท้องถิ่น

จากความมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมตลอดกว่าทศวรรษที่ผ่านมาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและภาคีเครือข่าย ไม่เพียงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะพันธุ์ไม้พื้นถิ่นให้มีความแข็งแรงทนต่อภัยคุกคามทางชีวภาพและสภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลต่อการดำรงชีวิตของพืชเท่านั้น แต่ยังช่วยลดทอนระยะเวลาการฟื้นตัวตามธรรมชาติของผืนป่าในประเทศไทยให้สั้นลงเหลือเพียง 30-40 ปี จากเดิมที่คาดการกันว่าอาจต้องใช้เวลานานกว่าศตวรรษที่ป่าจะกลับมาอุดมสมบูรณ์ได้อีกครั้ง สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่ประเทศไทยวางเป้าหมายรักษาผืนป่าไว้ให้ได้ถึงร้อยละ 40 และยังสามารถใช้เป็นแนวทางในการนำไปช่วยฟื้นฟูป่าพื้นถิ่นที่ประสบปัญหาไฟป่ารุนแรงทั่วโลกได้อีกด้วย

โครงการ “การใช้ราไมคอร์ไรซาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการฟื้นฟูป่าไม้ประจำถิ่นในประเทศไทย” ได้เข้ามามีส่วนร่วมในโครงการ “บ้านก้อแซนด์บ๊อกซ์”

ในส่วนของการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าที่เสื่อมโทรมจากการถูกไฟป่าทำลายโดยการปลูกป่าไม้พื้นถิ่นด้วยการใช้ราไมคอร์ไรซา โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อถ่ายทอดความรู้ สร้างวัฒนธรรมการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ป่า และสร้างการอยู่ร่วมกันระหว่างคนกับป่าอย่างยั่งยืนผ่านกิจกรรมต่างๆ

  1. กิจกรรมการอบรมเชิงบรรยายและปฏิบัติการเรื่อง  “นวัตกรรมเห็ดเผาะลดไฟป่าหมอกควัน สร้างป่า…สร้างรายได้” โดยได้รับการสนับสนุนจากชมรมผู้ได้รับพระราชทานทุนฯ และอุทยานแห่งชาติแม่ปิง จังหวัดลำพูน กิจกรรมนี้ประกอบไปด้วยการอบรมให้ความรู้ความเข้าใจแก่ชุมชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับราไมคอร์ไรซ่า โดยเฉพาะ เห็ดเผาะและเห็ดป่าอื่นที่มีความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยกับไม้ป่าพื้นถิ่นในป่า
  2. กิจกรรมการฟื้นฟูป่าพื้นถิ่นเพื่อการอนุรักษ์ในเขตอุทยานด้วยราไมคอร์ไรซาเห็ดเผาะ กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแม่ปิง ชาวบ้านในชุมชน และหน่วยงานราชการในอำเภอลี้ จ.ลำพูน ร่วมกันการปลูกป่าในพื้นที่นำร่องการจัดใช้มาตรา 64 ตามพรบ. อุทยานแห่งชาติ ปี พ.ศ. 2562 เพื่อเป็นการเร่งพื้นฟูป่าในอุทยานแห่งชาติแม่ปิงให้ประสบผลสำเร็จและเป็นบริหารจัดการพื้นที่ป่าอย่างยั่งยืน จนสามารถเป็นต้นแบบในการฟื้นป่าอนุรักษ์ในเขตอุทยานแห่งชาติอื่นๆ ในอนาคต โดยทำการปลูกพรรณไม้ที่เป็นไม้พื้นถิ่นเสริมแทรกเข้าไปในพื้นที่ดังกล่าวให้มีหลากหลายของพรรณไม้ โดยเฉพาะไม้ที่เป็นไม้เด่นของป่าเต็งรัง พร้อมกับใส่หัวเชื้อราไมคอร์ไรซาเห็ดเผาะให้กับกล้าไม้ก่อนย้ายปลูก
  3. กิจกรรมการสร้างแปลงสาธิตไม้ป่าพื้นถิ่นต้นแบบเสริมสร้างความมั่นคงทางด้านอาหารและรายได้อย่างยั่งยืน  โดยทำแปลงสาธิตต้นแบบในพื้นที่ของชาวบ้านก้อ ประมาณ 3ไร่ เพื่อทดลองการปลูกพืชแบบวนเกษตรมีการปลูกไม้ป่าพื้นถิ่นที่เป็นอาหารและสร้างรายได้ให้แก่เจ้าของพื้นที่ ซึ่งได้แก่ พืชอาศัยของเห็ดเผาะ เช่น พลวง เต็ง รัง เหียง เป็นต้น ผักหวานป่า ไผ่ และพืชสมุนไพรต่างๆ รวมทั้งพืชเกษตรที่สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรนอกเหนือจากข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่เคยปลูกอยู่เป็นประจำ เช่น องุ่น หน่อไม้ฝรั่ง ทุเรียน เป็นต้น กิจกรรมนี้จะเป็นตัวอย่างที่จะช่วยชาวบ้านให้มีรายได้ที่มั่นคง ซึ่งช่วยให้สามารถลดการบุกรุกและรบกวนพื้นที่ป่าในเขตอุทยานได้
  4. กิจกรรมการฟื้นฟูป่าชุมชนเสื่อมโทรมด้วยราไมคอร์ไรซาเห็ดเผาะ กิจกรรมนี้จะเป็นกิจกรรมที่จะฟื้นฟูป่าชุมชนของหมู่บ้านที่อยู่รอบแนวเขตรอยต่อของพื้นที่ป่าของอุทยานแห่งชาติแม่ปิงให้มีความอุดมสมบูรณ์กลับคืน โดยทำงานร่วมกันกับเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแม่ปิง และชาวบ้านก้อดำเนินการใส่หัวเชื้อเส้นใยเห็ดเผาะให้กับพืชอาศัยในป่าชุมชน เช่น เต็ง พลวง เหียง รัง เป็นต้น

ในปี 2564  “โครงการบูรณาการของการใช้เห็ดเผาะเพื่อฟื้นฟูป่าและลด PM 2.5 ที่เกิดจากการเผาป่า ในบริเวณพื้นที่รอยต่ออุทยานแห่งชาติแม่ปิง จังหวัดลำพูน” ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ร่วมกับชมรมผู้ได้รับพระราชทานทุนมูลนิธิอนันทมหิดลและอุทยานแห่งชาติแม่ปิง ทำการฟื้นฟูปลูกป่าทดแทนในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแม่ปิงภายใต้การจัดใช้มาตรา 64 ตาม พ.ร.บ. อุทยานแห่งชาติ ปี พ.ศ. 2562 โดยการใช้กล้าไม้พื้นถิ่นที่มีการใส่เชื้อเห็ดเผาะ เป็นจำนวน 15 ไร่ กิจกกรมดังกล่าวได้รับความร่วมมืออย่างดีจากเยาวชนกลุ่ม “หละอ่อนก้ฮักฮักถิ่นเกิด” ซึ่งเป็นบุตรหลานของชาวบ้านที่มีใจรักถิ่นบ้านเกิดและต้องการให้สภาพแวดล้อมที่ดีกลับคืนมาเยาวชนกลุ่มนี้เป็นกำลังสำคัญในการอนุรักษ์ฟื้นฟูป่า การเฝ้าระวังติดตามไฟ่ป่าที่จะเกิดขึ้นในอุทยานแห่งชาตแม่ปิง โดยทำงานประสานกับเจ้าหน้าที่อุทยานและหน่วยงานต่างๆในชุมชน นับว่าเป็นหนึ่งในการปลูกจิตสำนึกให้กับเยาวชนในการหวงแหนและอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ที่มีอยู่ในท้องถิ่นของตนอันจะนำมาซึ่งความยั่งยืนและความมั่นคงทั้งด้านอาหาร รายได้ และสิ่งแวดล้อมที่ดีในอนาคต

นอกจากนี้ เพื่อให้บรรลุตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) ในการปลูกและฟื้นฟูป่าของประเทศและการทำตามเป้าหมายของการประชุม COP26 ที่เมืองกลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์ ที่ประเทศไทยประกาศเป้าหมายที่สำคัญในการเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี พ.ศ. 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี พ.ศ. 2508 การถ่ายทอดความรู้เรื่องการใช้แรคโตมัยคอร์ไรซาเพื่อฟื้นฟูป่าพื้นเมืองจึงมีความจำเป็นและกระทำการอย่างต่อเนื่อง โดยทางโครงการได้ขยายกิจกรรมไปยังพื้นที่ต่างๆ ดังนี้

  1. กิจกรรมการอบรมเชิงบรรยายและปฏิบัติการเรื่อง “นวัตกรรมการเพาะขยายเห็ดป่าไมคอร์ไรซาแบบจำลองธรรมชาติ จังหวัดสุรินทร์” ได้รับการสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
  2. กิจกรรมการอบรมเชิงบรรยายและปฏิบัติการเรื่อง “การใช้ราไมคอร์ไรซาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปลูกไม้ป่าพื้นถิ่นไทย” ได้รับสนับสนุนจากมณฑลทหารบกที่ 38 จังหวัดน่าน และศูนย์เครือข่ายการเรียนรู้เพื่อภูมิภาค
  3. กิจกรรมการปลูกป่าอย่างประณีต ณ บ้านเชตวัน ต.สันทะ อ.เวียงสา จังหวัดน่าน ของนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่ลงทะเบียนเรียนวิชาการปลูกป่าพื้นถิ่น ได้รับการสนับสนุนจากกิจการนิสิตและภาควิชาพฤกษศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย องค์การบริหารตำบลสันทะ และมูลนิธิฟื้นฟูป่าพื้นถิ่น

ที่มา:

คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

รายละเอียดที่เกี่ยวข้อง:

อื่นๆ

ความร่วมมือจุฬาฯ กับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติในการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยของข้าราชการตำรวจ (Affordable Housing for Police Officers)

สำนักงานจัดการทรัพย์สิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงได้ร่วมมือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่จะส่งเสริมคุณภาพชีวิตของข้าราชการตำรวจ อันเป็นองค์ประกอบสำคัญต่อชุมชน

CU Innovations for Society ภารกิจกู้วิกฤติโควิด-19 เพื่อคนไทย

“นวัตกรรมจุฬาฯ” รับใช้ชาติกู้สถานการณ์โควิด-19 ดูแลคนไทยครบทุกมิติทั้งป้องกัน (Prevent) ปกป้อง (Protect) และรักษา (Cure) ช่วยแก้ปัญหาและยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย ทั้งยังสามารถต่อยอดขยายไปยังประเทศเพื่อนบ้านในเอเชีย

จุฬาฯ หวังเพิ่มประชากรเต่าทะเล หนุนตั้งเครือข่ายคุ้มครองแหล่งวางไข่ในอ่าวไทย

จำนวนเต่าทะเลในประเทศไทยลดลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 แม้รัฐบาลจะประกาศใช้กฎหมาย กำหนดเขตหวงห้าม ประกาศขึ้นทะเบียนเต่าทะเลในบัญชีรายชื่อของอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งพันธุ์พืชป่าและสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ (CITES) และพยายามสำรวจและศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งอาศัยของเต่าทะเล เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ในการอนุรักษ์เต่าทะเลก็ตาม แต่จำนวนของเต่าทะเลในประเทศไทยยังคงลดลงจนใกล้ถึงจุดวิกฤต จากจำนวนมากกว่า 2,500 รังต่อปี เมื่อ 50 ปีที่แล้ว ปัจจุบันเหลือเพียงปีละ 300-400 รังต่อปี เท่านั้น

จุฬาฯ ชู “แสมสารโมเดล” แก้ขยะล้นทะเลไทย

จุฬาฯ โดย “ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์” และ“สถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำ” เผยผลสำเร็จ “แสมสารโมเดล” นำร่องแก้ปัญหาขยะบนบกไหลลงทะเลชลบุรี ด้วยหลัก 3Rs ลดขยะพื้นที่แสมสารได้จริงกว่าร้อยละ 30 พร้อมขยายผลความสำเร็จจากชุมชนสู่ระดับชาติ