จุฬาฯ หวังเพิ่มประชากรเต่าทะเล หนุนตั้งเครือข่ายคุ้มครองแหล่งวางไข่ในอ่าวไทย
จำนวนเต่าทะเลในประเทศไทยลดลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 แม้รัฐบาลจะประกาศใช้กฎหมาย กำหนดเขตหวงห้าม ประกาศขึ้นทะเบียนเต่าทะเลในบัญชีรายชื่อของอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งพันธุ์พืชป่าและสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ (CITES) และพยายามสำรวจและศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งอาศัยของเต่าทะเล เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ในการอนุรักษ์เต่าทะเลก็ตาม แต่จำนวนของเต่าทะเลในประเทศไทยยังคงลดลงจนใกล้ถึงจุดวิกฤต จากจำนวนมากกว่า 2,500 รังต่อปี เมื่อ 50 ปีที่แล้ว ปัจจุบันเหลือเพียงปีละ 300-400 รังต่อปี เท่านั้น

ปัญหาการลดลงของเต่าทะเลเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ กรณีศึกษาในเต่ากระซึ่งเป็นเต่าทะเลประเภทหนึ่ง แสดงให้เห็นว่าพฤติกรรมการบริโภคของมนุษย์เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เต่าทะเลลดลงอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการทำประมงพื้นบ้านและเชิงพาณิชย์ที่ทำให้เต่าทะเลติดอวนเป็นจำนวนมาก การนำไข่เต่ามาประกอบอาหาร การนำกระดองเต่ามาทำเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ซึ่งมีราคาถูกและซื้อขายกันอย่างแพร่หลายในท้องตลาด แม้ว่าปัจจุบันนโยบายของรัฐและนักสิ่งแวดล้อมจะสร้างความตระหนักในพฤติกรรมเหล่านี้ให้เกิดขึ้นได้ในวงกว้างแล้ว แต่ความพยายามโดยตรงในการเพิ่มจำนวนเต่าทะเลยังเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลต่อการเพิ่มจำนวนของเต่าทะเลได้อย่างชัดเจน
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยศูนย์วิจัยโรคสัตว์น้ำ คณะสัตวแพทยศาสตร์ ร่วมกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จึงจัดโครงการการประเมินหลุมวางไข่และภัยคุกคามเพื่อการวางแผนเพิ่มการวางไข่ของเต่ากระในอ่าวไทย โครงการดังกล่าวมีภารกิจหลักในการจัดการประเมินการวางไข่ของเต่ากระ และจัดตั้งเครือข่ายระหว่างภาครัฐและชุมชน เพื่อเพิ่มพื้นที่การวางไข่ของเต่ากระในบริเวณอ่าวไทยตะวันออกในระดับชุมชนและภูมิภาค จากจุดเริ่มต้นของโครงการในปี 2562 ระยะแรกโครงการได้ส่งผู้แทนเข้าร่วมประชุมระดับนานาชาติและภูมิภาค Fauna and Flora International (FFI-RTW) Regional Training Workshop (RTW) ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2562 ซึ่งได้นำความรู้มาใช้ต่อยอดเพื่อดำเนินโครงการ ก่อนจะติดต่อและประสานงานทั้งหน่วยงานราชการและเอกชนในพื้นที่วางไข่ของเต่าทะเลในเขตอ่าวไทย เพื่อขอข้อมูลในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เข้าสำรวจพื้นที่ และจัดสัมมนาให้ความรู้แก่บุคคลในชุมชนพื้นที่ในระยะต่อมา ก่อนจะสร้างเครือข่ายคุ้มครองแหล่งวางไข่ในชุมชนและเก็บข้อมูลแหล่งวางไข่ของเต่ากระในพื้นที่เขตชายฝั่งอ่าวไทย บริเวณจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และจังหวัดชุมพร นอกจากนี้ ยังช่วยกันดูแลเฝ้าสังเกตการณ์ด้านสุขภาวะของสภาพแวดล้อมของระบบนิเวศทางทะเลและพัฒนา โครงการนี้ยังสร้างแนวทางปฏิบัติที่ดีในการดูแลรักษาระบบนิเวศทางน้ำในวงกว้างต่อทั้งคนในชุมชน และประชาชนทั่วไป จนนำไปสู่การจัดตั้งและพัฒนาสร้างเครือข่ายคุ้มครองแหล่งวางไข่ในชุมชนและเก็บข้อมูลแหล่งวางไข่ของเต่ากระในพื้นที่เขตชายฝั่งอ่าวไทยอีกด้วย ทั้งนี้โครงการดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากชุมชนอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาบทบาทของชุมชนเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้โครงการนี้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ทำให้เป้าหมายเพิ่มอัตราการวางไข่ของเต่าทะเลเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง และมีแนวโน้มที่จะขยายไปยังพื้นที่อื่น ภาพเต่าทะเลจำนวนมากในท้องทะเลไทย จะกลับมาเป็นจริงอีกครั้งหลังจากเป็นเพียงภาพฝันของคนไทยหลายคนมาหลายทศวรรษ

ที่มา:
ศูนย์วิจัยโรคสัตว์น้ำ คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
รายละเอียดที่เกี่ยวข้อง:
อื่นๆ
โครงการออกกำลังกายอย่างปลอดภัยด้วยเทรนเนอร์ส่วนบุคคลและวิทยาศาสตร์การกีฬา อาสาปันสุข (สุขภาพกาย และสุขภาพใจ)
คนไทยมีพฤติกรรมเสี่ยงโรคไม่ติดต่อและการบาดเจ็บเพิ่มสูงขึ้น โดยสำนักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขได้สำรวจและเล็งเห็นแนวโน้มมาตั้งแต่ปี 2558 พบความชุกของคนที่มีภาวะน้ำหนักเกิน ถึงร้อยละ 30.5 ภาวะอ้วน ร้อยละ 7.5 ภาวะการสูบบุหรี่ ร้อยละ 21.3 และการดื่มแอลกอฮอล์ ร้อยละ 36.2 ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มวัยแรงงานและกลุ่มผู้สูงอายุที่ขาดการออกกำลังกายและการบริโภคอาหารไม่ถูกหลักโภชนาการ
ศิลปะบำบัด ปลดปล่อยความวิตกกังวลจากเหตุการณ์วิกฤต
หลายคนที่เคยประสบกับเหตุการณ์วิกฤตไม่ได้ตระหนักถึงความจำเป็นในการเข้าบำบัดรักษาสุขภาพจิต เนื่องจากค่านิยมในสังคมเป็นสาเหตุที่สำคัญทำให้ผู้คนที่ได้รับความบาดเจ็บทางอารมณ์จากเหตุการณ์รุนแรงไม่เข้ารับการบำบัด ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศมีความเชื่อว่าการเข้ารับการบำบัดหมายถึงการเป็นคนบ้าหรือมีสภาพจิตใจที่อ่อนแอ การปรับทัศนคติในเรื่องนี้กับผู้คนในสังคมมีความจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อให้การบำบัดสุขภาพจิตสามารถเข้าถึงได้ง่ายและเป็นที่ยอมรับ
จุฬาฯ กับกิจกรรมเชิงรุกเพื่อส่งเสริมการใช้น้ำอย่างรู้คุณค่าและยั่งยืนให้กว้างขวางสู่ชุมชน ปี 2567-2568
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการน้ำอย่างรู้คุณค่า ไม่เพียงแต่ภายในมหาวิทยาลัยเท่านั้น แต่ยังขยายผลสู่การพัฒนาชุมชนภายนอกในวงกว้าง ผ่านโครงการและกิจกรรมจิตอาสาหลากหลายรูปแบบ เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ การฟื้นฟูระบบนิเวศ และการสร้างความตระหนักรู้ด้านสิ่งแวดล้อมให้กับประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ โดยมีเป้าหมายในการสร้างความมั่นคงทางน้ำและความยั่งยืนของชุมชนในระยะยาว
UDDC ฟื้นฟูเมือง เพื่อความยั่งยืนและสุขภาวะของประชาชน
ฟื้นฟูย่านเมืองเก่าสู่กระบวนการพัฒนาแห่งศตวรรษที่ 21 อย่างยั่งยืน สร้างการใช้ประโยชน์พื้นที่เมืองเกิดประโยชน์สูงสุดอย่างมีคุณภาพ




