การปรับปรุงอาคารของจุฬาฯ และการพัฒนาเทคโนโลยีสนับสนุนต่าง ๆ เพื่อเป็นการช่วยลดและใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น
Photo by Matthew Henry on Unsplash
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพในทุกมิติของการดำเนินงาน โดยส่วนหนึ่งสามารถเห็นได้จากการจัดทำแผนและโครงการอย่างต่อเนื่องเพื่อปรับปรุงอาคารที่มีอยู่เดิมให้มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น ภายใต้แนวทางการพัฒนาอาคารเขียว (Green Building) และการบริหารจัดการพลังงานอย่างยั่งยืน มหาวิทยาลัยได้ดำเนินการสำรวจและประเมินศักยภาพของอาคารต่าง ๆ เพื่อกำหนดลำดับความสำคัญในการปรับปรุง พร้อมทั้งบูรณาการเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน เช่น ระบบแสงสว่างที่ช่วยประหยัดพลังงานแต่มีประสิทธิภาพสูง ระบบบริหารจัดการพลังงานอัจฉริยะ และระบบติดตามการใช้พลังงานแบบเรียลไทม์ ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของแผนระยะยาวในการยกระดับอาคารทั้งหมดของมหาวิทยาลัยให้เป็นอาคารประหยัดพลังงาน
4 แผนและการดำเนินการเพื่อปรับปรุงอาคารให้มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น
1. กำหนดนโยบายสนับสนุนเพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนในระดับมหาวิทยาลัย
จุฬาฯ ได้กำหนด นโยบายการจัดการและส่งเสริมการอนุรักษ์การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย [ http://www.sustainability.chula.ac.th/th/rule-regulation/3697/ ] เพื่อเป็นแนวทางสำหรับทุกหน่วยงานใช้ในการดำเนินการและปฏิบัติงาน โดยมีหน่วยงานกลางของมหาวิทยาลัยกำกับดูแลให้แต่ละคณะและหน่วยงานนำไปปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งครอบคลุมทั้งในเรื่องการสนับสนุนการจัดการการใช้พลังงานให้เป็นระบบเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน ลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล ส่งเสริมการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
โดยในนโยบายฯ ได้มีการกำหนดแนวทางในการออกแบบก่อสร้างอาคารใหม่ และการออกแบบปรับปรุงอาคารให้ปฏิบัติตามมาตรฐานพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร และกฎกระทรวงที่ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พร้อมทั้งกฎกระทรวงและกฎหมายว่าด้วยการออกแบบอาคารเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน และเกณฑ์สำหรับการเตรียมความพร้อมการก่อสร้างและอาคารปรับปรุงใหม่ (TREES: Thai’s Rating of Energy and Environmental Sustainability) โดยสถาบันอาคารเขียวไทย เพื่อเป็นการช่วยส่งเสริมในเรื่องการลดการใช้พลังงาน การใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นและยั่งยืน รวมไปถึงการช่วยส่งเสริมการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
นโยบายการจัดการและส่งเสริมการอนุรักษ์การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
2. ดำเนินการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาอาคารของมหาวิทยาลัย
จุฬาฯ ได้ดำเนินการปรับเปลี่ยนระบบการใช้พลังงานแบบเดิม เป็นระบบการใช้พลังงานทดแทนที่ไม่ก่อให้เกิดคาร์บอน (Zero-carbon Energy System) ได้แก่ พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar PV development) เนื่องจาก จุฬาฯ เป็นมหาวิทยาลัยในเมือง จึงมีข้อจำกัดในด้านพื้นที่ การใช้พลังงานโซลาร์เซลล์ในฐานะพลังงานทดแทนจึงเหมาะกับบริบทของมหาวิทยาลัยที่สุดในปัจจุบัน
จุฬาฯ ได้ลงนามข้อตกลงกับการไฟฟ้านครหลวง (MEA) เพื่อดำเนินโครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาอาคารต่าง ๆ (Solar Rooftop) ภายใต้การดำเนินโครงการระบบพลังงานแสงอาทิตย์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Chulalongkorn University Solar Cells System Project)ในความรับผิดชอบของสำนักบริหารระบบกายภาพ จุฬาฯซึ่งมีแผนจะดำเนินการติดตั้งทั้งหมด 62 อาคาร ทั่วทั้งมหาวิทยาลัยที่มีศักยภาพในการติดตั้งโซลาร์เซลล์
สำหรับการติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ของจุฬาฯ มีขั้นตอนดำเนินงานอย่างเป็นระบบ ประกอบด้วย
- การสำรวจพื้นที่หลังคา เพื่อระบุจุดที่เหมาะสมต่อการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ โดยคำนึงถึงทิศทางของแสงแดดและความปลอดภัยของอาคาร
- การปรับปรุงพื้นที่ ที่ได้รับการคัดเลือกให้พร้อมต่อการติดตั้ง เพื่อให้สามารถรับน้ำหนักและแสงได้อย่างเหมาะสม
- การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ โดยจัดวางให้หันไปทางทิศตะวันออกและตะวันตก เพื่อลดความร้อนสูงสุดในช่วงเที่ยงวัน และกระจายพลังงานที่ผลิตได้ตลอดวัน
- การตรวจสอบและติดตามผล โดยเจ้าหน้าที่จะคอยตรวจวัดปริมาณแสงอาทิตย์ที่เก็บได้ และพลังงานไฟฟ้าที่ถูกแปลงจากแสงแดด เพื่อประเมินประสิทธิภาพของระบบในแต่ละวัน
ในปัจจุบัน ปี 2568 โครงการได้ดำเนินการติดตั้งแล้วกว่า 32.25% (20 อาคาร) อยู่ระหว่างดำเนินการติดตั้งอีก 20.97% (13 อาคาร) และอยู่ในขั้นตอนการจัดทำสัญญาอีก 46.78% (29 อาคาร)
“หากติดตั้งและใช้งานครบทุกอาคารแล้วจะสามารถทดแทนการใช้ไฟฟ้าในจุฬาฯ ได้ถึง 25% ของการใช้ไฟฟ้าทั้งมหาวิทยาลัย”
ทั้งนี้ ในปี 2567–2568 โครงการสามารถลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานไฟฟ้าได้กว่า 4.57 ล้านบาท และมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมกว่า 3.57 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมง (kWh) จากพื้นที่การติดตั้งในเขตการศึกษา โครงการนำร่องของการไฟฟ้านครหลวง (MEA) และพื้นที่ทดสอบควบคุม (Sandbox) ของพันธมิตรภายนอก เช่น MEA และ GULF
พลังงานแสงอาทิตย์ที่ผลิตได้จากโครงการนี้ไม่เพียงช่วยประหยัดค่าไฟฟ้า แต่ยังช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ได้อย่างมหาศาล (โดยประมาณว่า การผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ 1,000 kWhสามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้ราว 0.6 ตัน CO₂) ดังนั้นจากพลังงานทั้งหมดที่ผลิตได้กว่า 3.5 ล้าน kWh คาดว่าจะสามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้มากกว่า 2,100 ตัน CO₂ ต่อปี ซึ่งเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้กว่า 210,000 ต้น จึงแสดงให้เห็นว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไม่เพียงเป็นผู้นำทางวิชาการ แต่ยังเป็นแบบอย่างในการพัฒนาอย่างยั่งยืนและการรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

นอกจากนี้ จุฬาฯ จะเน้นให้ความสำคัญกับการออกแบบอาคารสีเขียว โดยจะออกแบบการก่อสร้างอาคารใหม่ให้เหมาะสม เช่น วางผังและทิศทางที่ตั้งของอาคารให้สัมพันธ์กับการรับแดด เน้นการใช้แสงธรรมชาติเพื่อลดการใช้พลังงานไฟฟ้า
3. การตรวจอายุการใช้งานและประเมินประสิทธิภาพอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในอาคาร
จุฬาฯ มีการกำหนดแผนและดำเนินการตรวจอายุการใช้งานและประเมินประสิทธิภาพอุปกรณ์ไฟฟ้า เพื่อเปลี่ยนเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าประหยัดพลังงานในอาคารส่วนกลางอย่างต่อเนื่อง เช่น หลอดไฟ และเครื่องปรับอากาศ ที่มีการตรวจทุก 6 เดือน
นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดแผนและดำเนินการปรับปรุงระบบปรับอากาศภายในอาคาร โดยติดตั้งมอนิเตอร์เพื่อตรวจสอบความร้อนภายในระบบ และการใช้ระบบระบายอากาศ ระบบระบายความร้อน ตลอดจนมีการติดตั้งระบบบริหารจัดการพลังงานในอาคารอัจฉริยะ CU BEMs (Building Energy Management) ในอาคารทั่วทั้งมหาวิทยาลัย เพื่อใช้มอนิเตอร์ ควบคุมและสั่งการการใช้พลังงานในแต่ละอาคารให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ลดการใช้พลังงานโดยไม่จำเป็น โดยสามารถตรวจสอบและจำกัดการใช้พลังงานในแต่ละอาคารผ่านเว็บแอปพลิเคชันและ Dashboard ที่รายงานข้อมูลการใช้พลังงานสูงสุด (Peak Load) และจำนวนการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งระบบนี้ออกแบบโดยหน่วยปฏิบัติการวิจัยระบบโครงข่ายไฟฟ้าสมาร์ทกริด (Smart Grid Reseach Unit- SGRU) ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับมหาวิทยาลัยโตเกียว และกลุ่มอุตสาหกรรมทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (สนพ.) กระทรวงพลังงาน

[ https://www.sgru.eng.chula.ac.th/cu-bems/ ]
4. การพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อรองรับการทำงานของเมืองอัจฉริยะ (CU Smart City Platform)
สถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เล็งเห็นว่าเพื่อการพัฒนาเมืองอัจฉริยะอย่างยั่งยืน ประเทศ ไทยควรจะมีการพัฒนาแพลตฟอร์มกลางสำหรับการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City Open Platform) ที่สามารถรองรับ การเก็บข้อมูลและบริหารจัดการเมืองอัจฉริยะได้แบบครบวงจร
ดังนั้น จึงมีแนวคิดที่จะใช้พื้นที่ในมหาวิทยาลัยเพื่อ พัฒนา ทดสอบ และสาธิตระบบแพลตฟอร์มเพื่อรองรับการทำงานของเมืองอัจฉริยะ (CU Smart City Platform) ตามวิสัยทัศน์ “SMART 5” โดยในโครงการนี้ จะเน้นที่ระบบการบริหารจัดการพลังงานอัจฉริยะ และระบบอื่นๆ ที่เป็นส่วนเสริมการทำงาน ของระบบบริหารจัดการพลังงานอัจฉริยะ ทั้งนี้ ทีมวิจัยจะติดตั้งระบบเซนเซอร์ ระบบมิเตอร์ อุปกรณ์ IoT และระบบอัจฉริยะ อื่นๆ เพื่อปรับปรุงและพัฒนาพื้นที่ที่เป็นอยู่ให้รองรับการผลิตและการใช้พลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะระบบผลิต ไฟฟ้าจากพลังานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา ผนวกกับพัฒนาระบบบริหารจัดการความต้องการใช้ไฟฟ้าภายในอาคารให้เหมาะสม
นอกจากระบบบริหารจัดการพลังงานอัจฉริยะแล้ว จะสาธิตการเชื่อมต่อของ CU Smart City Platform กับระบบ จัดการสิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ ระบบการสัญจรอัจฉริยะ และระบบการรักษาความปลอดภัยอัจฉริยะ เพื่อให้เกิดการเข้าถึงข้อมูล ด้านต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้นเพื่อให้เกิดเป็นชุมชนอัจฉริยะภายในพื้นที่จุฬาฯ ด้วย
สำหรับการพัฒนาแพลตฟอร์มนี้ได้เริ่มดำเนินการในช่วงปลายปี 2566 โดยผลผลิตสุดท้ายของโครงการ (Output) ที่คาดหวัง คือ การได้แพลตฟอร์มมหาวิทยาลัยอัจฉริยะของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่ประกอบด้วย วิสัยทัศน์ “SMART 5” คือ ระบบบริหารจัดการพลังงานอัจฉริยะ (SMART ENERGY) ระบบตรวจวัดสิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ (SMART ENVIRONMENT) ระบบรองรับการสัญจรอัจฉริยะ (SMART MOBILITY) ระบบประสานกับความปลอดภัยอัจฉริยะ(SMART SECURITY) ระบบผสานการสื่อสารกับชุมชนอัจฉริยะ (SMART COMMUNITY) ที่มีความพร้อมของการให้บริการของแพลตฟอร์มมหาวิทยาลัยอัจฉริยะของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่จะต้องมีข้อมูลครบถ้วนร้อยละ 100 ของส่วนงานทั้งหมดภายในพื้นที่เขตการศึกษาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสามารถนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการช่วยมอนิเตอร์ วางแผน และปรับปรุงการใช้พลังงานภายในอาคารต่าง ๆ ทั้งหมดของมหาวิทยาลัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับในปัจจุบัน (ปี 2568) แพลตฟอร์มนี้ได้เปิดให้บริการ โดยมีการแสดงผลข้อมูลในส่วนของพื้นที่หลัก ๆ ภายในพื้นที่เขตการศึกษาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้มอนิเตอร์ วางแผน และปรับปรุงการใช้พลังงานภายในอาคารต่าง ๆ ได้แล้ว

[ https://ls.ene.cusmart.chula.ac.th/#/home/system-snapshot ]
ที่มา:
- สำนักบริหารระบบกายภาพ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- สถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

SDG ที่เกี่ยวข้อง
อื่นๆ
จุฬาฯ สนับสนุนให้ทุกคน มีสุขภาพดีถ้วนหน้า
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยให้บริการด้านสุขภาพที่หลากหลายแก่นิสิต บุคลากร และประชาชนทั่วไป รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวก กิจกรรม การศึกษา และการติดตามดูแลตนเองโดยได้รับความร่วมมือจากเครือข่ายพันธมิตร
ประเทศไทยประกาศความสำเร็จซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิตจากขยะเปียกชุมชนครั้งแรกของโลก
กระทรวงมหาดไทย ร่วมกับ UN Thailand พร้อมด้วยพันธมิตรภาคีเครือข่ายภาคเอกชนโดย KBANK ซึ่งสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านประเทศไทยและประชาคมมุ่งสู่ “สังคมคาร์บอนเป็นศูนย์” ประกาศความสำเร็จการซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิตขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 4 จังหวัดนำร่องเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ภายหลังสามารถจูงใจให้พี่น้องประชาชนมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคมด้วยการแยกขยะและจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อนที่สามารถแปลงกลับมาเป็นเงินทุนให้กับหมู่บ้านและชุมชน
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกับการสนับสนุน ดูแล และให้บริการกับกลุ่มบุคคลผู้พิการ
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมและการเข้าถึงบริการต่าง ๆ ของทุกคน รวมถึงกลุ่มผู้พิการที่ต้องการการสนับสนุนในรูปแบบเฉพาะ เพื่อให้สามารถเรียนรู้และใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยได้อย่างเต็มศักยภาพ
นวัตเกษตรกร : สำนักวิชาทรัพยากรการเกษตร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ผสมผสานศาสตร์และศิลป์ของเทคโนโลยีการผลิตพืชและปศุสัตว์ การแปรรูปอาหาร ความปลอดภัยของอาหาร ธุรกิจการเกษตร และระบบการจัดส่งสินค้า สอนนักเรียนให้รวมความรู้ดั้งเดิมเข้ากับการวิจัยใหม่เพื่อพัฒนาแนวคิดและเทคโนโลยีการเกษตรเชิงนวัตกรรมที่รับมือกับความท้าทายในการพัฒนาท้องถิ่น




