กรณีศึกษา

การปรับปรุงอาคารของจุฬาฯ และการพัฒนาเทคโนโลยีสนับสนุนต่าง ๆ เพื่อเป็นการช่วยลดและใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพในทุกมิติของการดำเนินงาน โดยส่วนหนึ่งสามารถเห็นได้จากการจัดทำแผนและโครงการอย่างต่อเนื่องเพื่อปรับปรุงอาคารที่มีอยู่เดิมให้มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น ภายใต้แนวทางการพัฒนาอาคารเขียว (Green Building) และการบริหารจัดการพลังงานอย่างยั่งยืน มหาวิทยาลัยได้ดำเนินการสำรวจและประเมินศักยภาพของอาคารต่าง ๆ เพื่อกำหนดลำดับความสำคัญในการปรับปรุง พร้อมทั้งบูรณาการเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน เช่น ระบบแสงสว่างที่ช่วยประหยัดพลังงานแต่มีประสิทธิภาพสูง ระบบบริหารจัดการพลังงานอัจฉริยะ และระบบติดตามการใช้พลังงานแบบเรียลไทม์ ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของแผนระยะยาวในการยกระดับอาคารทั้งหมดของมหาวิทยาลัยให้เป็นอาคารประหยัดพลังงาน

4 แผนและการดำเนินการเพื่อปรับปรุงอาคารให้มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น

1. กำหนดนโยบายสนับสนุนเพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนในระดับมหาวิทยาลัย

จุฬาฯ ได้กำหนด นโยบายการจัดการและส่งเสริมการอนุรักษ์การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย [ http://www.sustainability.chula.ac.th/th/rule-regulation/3697/ ] เพื่อเป็นแนวทางสำหรับทุกหน่วยงานใช้ในการดำเนินการและปฏิบัติงาน โดยมีหน่วยงานกลางของมหาวิทยาลัยกำกับดูแลให้แต่ละคณะและหน่วยงานนำไปปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งครอบคลุมทั้งในเรื่องการสนับสนุนการจัดการการใช้พลังงานให้เป็นระบบเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน ลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล ส่งเสริมการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

โดยในนโยบายฯ ได้มีการกำหนดแนวทางในการออกแบบก่อสร้างอาคารใหม่ และการออกแบบปรับปรุงอาคารให้ปฏิบัติตามมาตรฐานพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร และกฎกระทรวงที่ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พร้อมทั้งกฎกระทรวงและกฎหมายว่าด้วยการออกแบบอาคารเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน และเกณฑ์สำหรับการเตรียมความพร้อมการก่อสร้างและอาคารปรับปรุงใหม่ (TREES: Thai’s Rating of Energy and Environmental Sustainability) โดยสถาบันอาคารเขียวไทย เพื่อเป็นการช่วยส่งเสริมในเรื่องการลดการใช้พลังงาน การใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นและยั่งยืน รวมไปถึงการช่วยส่งเสริมการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

2. ดำเนินการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาอาคารของมหาวิทยาลัย

จุฬาฯ ได้ดำเนินการปรับเปลี่ยนระบบการใช้พลังงานแบบเดิม เป็นระบบการใช้พลังงาน​ทดแทนที่ไม่ก่อให้เกิดคาร์บอน​ (Zero-carbon Energy System) ได้แก่ พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar PV development) เนื่องจาก จุฬาฯ เป็นมหาวิทยาลัยในเมือง จึงมีข้อจำกัดในด้านพื้นที่ การใช้พลังงานโซลาร์เซลล์ในฐานะพลังงานทดแทนจึงเหมาะกับบริบทของมหาวิทยาลัยที่สุดในปัจจุบัน

จุฬาฯ ​ได้ลงนามข้อตกลงกับการไฟฟ้านครหลวง (MEA) เพื่อดำเนินโครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาอาคารต่าง ๆ​ (Solar Rooftop) ภายใต้การดำเนินโครงการระบบพลังงานแสงอาทิตย์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Chulalongkorn University Solar Cells System Project)ในความรับผิดชอบของสำนักบริหารระบบกายภาพ จุฬาฯซึ่งมีแผนจะดำเนินการติดตั้งทั้งหมด 62 อาคาร ทั่วทั้งมหาวิทยาลัยที่มีศักยภาพในการติดตั้งโซลาร์​เซลล์

สำหรับการติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ของจุฬาฯ มีขั้นตอนดำเนินงานอย่างเป็นระบบ ประกอบด้วย

  1. การสำรวจพื้นที่หลังคา เพื่อระบุจุดที่เหมาะสมต่อการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ โดยคำนึงถึงทิศทางของแสงแดดและความปลอดภัยของอาคาร
  2. การปรับปรุงพื้นที่ ที่ได้รับการคัดเลือกให้พร้อมต่อการติดตั้ง เพื่อให้สามารถรับน้ำหนักและแสงได้อย่างเหมาะสม
  3. การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ โดยจัดวางให้หันไปทางทิศตะวันออกและตะวันตก เพื่อลดความร้อนสูงสุดในช่วงเที่ยงวัน และกระจายพลังงานที่ผลิตได้ตลอดวัน
  4. การตรวจสอบและติดตามผล โดยเจ้าหน้าที่จะคอยตรวจวัดปริมาณแสงอาทิตย์ที่เก็บได้ และพลังงานไฟฟ้าที่ถูกแปลงจากแสงแดด เพื่อประเมินประสิทธิภาพของระบบในแต่ละวัน

ในปัจจุบัน ปี 2568 โครงการได้ดำเนินการติดตั้งแล้วกว่า 32.25% (20 อาคาร) อยู่ระหว่างดำเนินการติดตั้งอีก 20.97% (13 อาคาร) และอยู่ในขั้นตอนการจัดทำสัญญาอีก 46.78% (29 อาคาร)

“หากติดตั้งและใช้งานครบทุกอาคารแล้วจะสามารถทดแทนการใช้ไฟฟ้า​ในจุฬาฯ​ ได้ถึง​ 25% ของการใช้ไฟฟ้าทั้งมหาวิทยาลัย​”

ทั้งนี้ ในปี 2567–2568 โครงการสามารถลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานไฟฟ้าได้กว่า 4.57 ล้านบาท และมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมกว่า 3.57 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมง (kWh) จากพื้นที่การติดตั้งในเขตการศึกษา โครงการนำร่องของการไฟฟ้านครหลวง (MEA) และพื้นที่ทดสอบควบคุม (Sandbox) ของพันธมิตรภายนอก เช่น MEA และ GULF

พลังงานแสงอาทิตย์ที่ผลิตได้จากโครงการนี้ไม่เพียงช่วยประหยัดค่าไฟฟ้า แต่ยังช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ได้อย่างมหาศาล (โดยประมาณว่า การผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ 1,000 kWhสามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้ราว 0.6 ตัน CO₂) ดังนั้นจากพลังงานทั้งหมดที่ผลิตได้กว่า 3.5 ล้าน kWh คาดว่าจะสามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้มากกว่า 2,100 ตัน CO₂ ต่อปี ซึ่งเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้กว่า 210,000 ต้น จึงแสดงให้เห็นว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไม่เพียงเป็นผู้นำทางวิชาการ แต่ยังเป็นแบบอย่างในการพัฒนาอย่างยั่งยืนและการรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

นอกจากนี้ จุฬาฯ จะเน้นให้ความสำคัญกับการออกแบบอาคารสีเขียว โดยจะออกแบบการก่อสร้างอาคารใหม่ให้เหมาะสม เช่น วางผังและทิศทางที่ตั้งของอาคารให้สัมพันธ์กับการรับแดด เน้นการใช้แสงธรรมชาติเพื่อลดการใช้พลังงานไฟฟ้า

3. การตรวจอายุการใช้งานและประเมินประสิทธิภาพ​อุปกรณ์​ไฟฟ้าภายในอาคาร

จุฬาฯ ​มีการกำหนดแผนและดำเนินการตรวจอายุการใช้งานและประเมินประสิทธิภาพ​อุปกรณ์​ไฟฟ้า เพื่อเปลี่ยนเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าประหยัดพลังงาน​ในอาคารส่วนกลางอย่างต่อเนื่อง เช่น หลอดไฟ และเครื่องปรับอากาศ ที่มีการตรวจทุก 6 เดือน

นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดแผนและดำเนินการปรับปรุงระบบปรับอากาศภายในอาคาร โดยติดตั้งมอนิเตอร์เพื่อตรวจสอบความร้อนภายในระบบ และการใช้ระบบระบายอากาศ ระบบระบายความร้อน ตลอดจนมีการติดตั้งระบบบริหารจัดการพลังงานในอาคารอัจฉริยะ CU BEMs (Building Energy Management) ​ในอาคารทั่วทั้งมหาวิทยาลัย เพื่อใช้มอนิเตอร์ ควบคุมและสั่งการการใช้พลังงานในแต่ละอาคารให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด​ ลดการใช้พลังงานโดยไม่จำเป็น โดยสามารถตรวจสอบ​และจำกัดการใช้พลังงานในแต่ละอาคารผ่านเว็บแอปพลิเคชัน​และ​ Dashboard ที่รายงานข้อมูลการใช้พลังงานสูงสุด​ (Peak Load)​ และจำนวนการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งระบบนี้ออกแบบโดยหน่วยปฏิบัติการวิจัยระบบโครงข่ายไฟฟ้าสมาร์ทกริด (Smart Grid Reseach Unit- SGRU) ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับมหาวิทยาลัยโตเกียว และกลุ่มอุตสาหกรรมทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (สนพ.) กระทรวงพลังงาน

[ https://www.sgru.eng.chula.ac.th/cu-bems/ ]

4. การพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อรองรับการทำงานของเมืองอัจฉริยะ (CU Smart City Platform)

สถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เล็งเห็นว่าเพื่อการพัฒนาเมืองอัจฉริยะอย่างยั่งยืน ประเทศ ไทยควรจะมีการพัฒนาแพลตฟอร์มกลางสำหรับการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City Open Platform) ที่สามารถรองรับ การเก็บข้อมูลและบริหารจัดการเมืองอัจฉริยะได้แบบครบวงจร

ดังนั้น จึงมีแนวคิดที่จะใช้พื้นที่ในมหาวิทยาลัยเพื่อ พัฒนา ทดสอบ และสาธิตระบบแพลตฟอร์มเพื่อรองรับการทำงานของเมืองอัจฉริยะ (CU Smart City Platform) ตามวิสัยทัศน์ “SMART 5” โดยในโครงการนี้ จะเน้นที่ระบบการบริหารจัดการพลังงานอัจฉริยะ และระบบอื่นๆ ที่เป็นส่วนเสริมการทำงาน ของระบบบริหารจัดการพลังงานอัจฉริยะ ทั้งนี้ ทีมวิจัยจะติดตั้งระบบเซนเซอร์ ระบบมิเตอร์ อุปกรณ์ IoT และระบบอัจฉริยะ อื่นๆ เพื่อปรับปรุงและพัฒนาพื้นที่ที่เป็นอยู่ให้รองรับการผลิตและการใช้พลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะระบบผลิต ไฟฟ้าจากพลังานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา ผนวกกับพัฒนาระบบบริหารจัดการความต้องการใช้ไฟฟ้าภายในอาคารให้เหมาะสม

นอกจากระบบบริหารจัดการพลังงานอัจฉริยะแล้ว จะสาธิตการเชื่อมต่อของ CU Smart City Platform กับระบบ จัดการสิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ ระบบการสัญจรอัจฉริยะ และระบบการรักษาความปลอดภัยอัจฉริยะ เพื่อให้เกิดการเข้าถึงข้อมูล ด้านต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้นเพื่อให้เกิดเป็นชุมชนอัจฉริยะภายในพื้นที่จุฬาฯ ด้วย

สำหรับการพัฒนาแพลตฟอร์มนี้ได้เริ่มดำเนินการในช่วงปลายปี 2566 โดยผลผลิตสุดท้ายของโครงการ (Output) ที่คาดหวัง คือ การได้แพลตฟอร์มมหาวิทยาลัยอัจฉริยะของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่ประกอบด้วย วิสัยทัศน์ “SMART 5” คือ ระบบบริหารจัดการพลังงานอัจฉริยะ (SMART ENERGY) ระบบตรวจวัดสิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ (SMART ENVIRONMENT) ระบบรองรับการสัญจรอัจฉริยะ (SMART MOBILITY) ระบบประสานกับความปลอดภัยอัจฉริยะ(SMART SECURITY) ระบบผสานการสื่อสารกับชุมชนอัจฉริยะ (SMART COMMUNITY) ที่มีความพร้อมของการให้บริการของแพลตฟอร์มมหาวิทยาลัยอัจฉริยะของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่จะต้องมีข้อมูลครบถ้วนร้อยละ 100 ของส่วนงานทั้งหมดภายในพื้นที่เขตการศึกษาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสามารถนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการช่วยมอนิเตอร์ วางแผน และปรับปรุงการใช้พลังงานภายในอาคารต่าง ๆ ทั้งหมดของมหาวิทยาลัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับในปัจจุบัน (ปี 2568) แพลตฟอร์มนี้ได้เปิดให้บริการ โดยมีการแสดงผลข้อมูลในส่วนของพื้นที่หลัก ๆ ภายในพื้นที่เขตการศึกษาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้มอนิเตอร์ วางแผน และปรับปรุงการใช้พลังงานภายในอาคารต่าง ๆ ได้แล้ว

[ https://ls.ene.cusmart.chula.ac.th/#/home/system-snapshot ]

ที่มา:

  • สำนักบริหารระบบกายภาพ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • สถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

อื่นๆ

จุฬาฯ สนับสนุนให้ทุกคน มีสุขภาพดีถ้วนหน้า

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยให้บริการด้านสุขภาพที่หลากหลายแก่นิสิต บุคลากร และประชาชนทั่วไป รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวก กิจกรรม การศึกษา และการติดตามดูแลตนเองโดยได้รับความร่วมมือจากเครือข่ายพันธมิตร

ประเทศไทยประกาศความสำเร็จซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิตจากขยะเปียกชุมชนครั้งแรกของโลก

กระทรวงมหาดไทย ร่วมกับ UN Thailand พร้อมด้วยพันธมิตรภาคีเครือข่ายภาคเอกชนโดย KBANK ซึ่งสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านประเทศไทยและประชาคมมุ่งสู่ “สังคมคาร์บอนเป็นศูนย์”  ประกาศความสำเร็จการซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิตขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 4 จังหวัดนำร่องเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ภายหลังสามารถจูงใจให้พี่น้องประชาชนมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคมด้วยการแยกขยะและจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อนที่สามารถแปลงกลับมาเป็นเงินทุนให้กับหมู่บ้านและชุมชน

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกับการสนับสนุน ดูแล และให้บริการกับกลุ่มบุคคลผู้พิการ

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมและการเข้าถึงบริการต่าง ๆ ของทุกคน รวมถึงกลุ่มผู้พิการที่ต้องการการสนับสนุนในรูปแบบเฉพาะ เพื่อให้สามารถเรียนรู้และใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยได้อย่างเต็มศักยภาพ

นวัตเกษตรกร : สำนักวิชาทรัพยากรการเกษตร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ผสมผสานศาสตร์และศิลป์ของเทคโนโลยีการผลิตพืชและปศุสัตว์ การแปรรูปอาหาร ความปลอดภัยของอาหาร ธุรกิจการเกษตร และระบบการจัดส่งสินค้า สอนนักเรียนให้รวมความรู้ดั้งเดิมเข้ากับการวิจัยใหม่เพื่อพัฒนาแนวคิดและเทคโนโลยีการเกษตรเชิงนวัตกรรมที่รับมือกับความท้าทายในการพัฒนาท้องถิ่น

ไอคอน PDPA

เราใช้คุกกี้เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของคุณ (ตั้งค่า)

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

Accept All
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • Necessary cookies
    เปิดใช้งานตลอด

    Necessary cookies are essential for the functioning of the website, allowing you to use and browse the site normally. You cannot disable these cookies in our website's system.

  • คุกกี้วิเคราะห์เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การใช้งาน

    คุกกี้เหล่านี้ใช้เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งานเว็บไซต์ เช่น จำนวนผู้เข้าชม, หน้าเว็บที่ได้รับความนิยม และพฤติกรรมการท่องเว็บ ซึ่งช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์ปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ได้

  • คุกกี้การทำงานเพื่อจดจำการตั้งค่าผู้ใช้

    คุกกี้เหล่านี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานเว็บไซต์ โดยจดจำการตั้งค่าที่ผู้ใช้เคยกำหนดไว้ เช่น ชื่อผู้ใช้, ภาษา, ภูมิภาค หรือการปรับแต่งเว็บไซต์ตามความต้องการ

Save