นวัตกรรมเครื่องบำบัดโรคระบบทางเดินหายใจอัตราการไหลสูงในภาวะฉุกเฉินการระบาด COVID-19
“ใน พ.ศ. 2564 ทั่วโลกเกิดการระบาดของ COVID-19 เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมถึงประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการระบาดที่เกิดจากเชื้อกลายพันธุ์อัลฟาและเดลตา ทำให้มีผู้ติดเชื้อยืนยันเกิน 363,000 รายและผู้เสียชีวิตเกือบ 3,000 รายในประเทศไทยถึงเดือนกรกฎาคม อาการรุนแรงของผู้ป่วยนำมาสู่เครื่องช่วยหายใจและเครื่องบำบัดโรคอัตราการไหลสูงขาดแคลนเนื่องจากมีต้องการทั่วโลก ทางคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสภากาชาดไทยจึงได้พัฒนานวัตกรรมอุปกรณ์บำบัดโรคหายใจแบบอัตราการไหลสูงที่เป็นเป้าหมายสำคัญเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานของรัฐและเอกชนเป็นปัจจัยสำคัญในการออกแบบและทดสอบทางการแพทย์ การระดมทุนจากสาธารณชนได้สนับสนุนการผลิตและกระจายไปยังโรงพยาบาลทั่วประเทศ พร้อมกับวัสดุการอบรม การใช้งานของอุปกรณ์เหล่านี้ได้เป็นที่เรียบร้อยและสามารถรักษาผู้ป่วยรุนแรงเกือบ 7,000 รายจนถึงปัจจุบัน โดยสามารถลดอัตราการเสียชีวิตได้ แม้สถานการณ์ COVID-19 จะคลี่คลาย แต่ยังคงมีการใช้งานอุปกรณ์เหล่านี้อยู่อย่างแพร่หลาย สะท้อนถึงความสำเร็จของนวัตกรรมนี้ในระบบการให้บริการด้านสุขภาพ โครงการนี้จึงมีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างด้านสุขภาพของประชาชนและระบบการดูแลสุขภาพในประเทศไทย”

ใน พ.ศ. 2564 ทั่วโลกเกิดการระบาดของ COVID-19 เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมถึงประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการระบาดที่เกิดจากเชื้อกลายพันธุ์อัลฟาและเดลตาในช่วงเดือนเมษายนจนถึงเดือนกรกฎาคม ทำให้มีผู้ถูกยืนยันการติดเชื้อ 363,029 คน และผู้เสียชีวิต 2,934 คนในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2564 โดยมีผู้ป่วยติดเชื้อ COVID-19 ที่มีอาการรุนแรงจนเกิดปอดอักเสบและภาวะหายใจล้มเหลวเฉียบพลันจำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ (ventilator) และเครื่องบำบัดโรคระบบทางเดินหายใจอัตราการไหลสูง (high flow nasal therapy device) เป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดการขาดแคลนของเครื่องมือทั้งสองชนิด โดยขณะนั้นไม่สามารถจัดซื้อจากผู้ผลิตในต่างประเทศ เนื่องจากเกิดการขาดแคลนทั่วโลก จึงมีความจำเป็นที่คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสภากาชาดไทย ต้องเร่งการดำเนินงานเพื่อออกแบบ ทดสอบ และขออนุมัติผลิตเครื่องบำบัดโรคระบบทางเดินหายใจอัตราการไหลสูง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้มีเครื่องมือที่มีคุณภาพและจำนวนเพียงพอต่อกลุ่มเป้าหมายหลักอันได้แก่ผู้ป่วย COVID-19 ที่มีอาการหนักที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้สามารถเข้าถึงการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงเป็นการสร้างความมั่นคงทางด้านการแพทย์ของประเทศในการที่จะพึ่งพาตนเองได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์วิกฤติ
โครงการนี้ได้พัฒนานวัตกรรมเครื่องบำบัดโรคระบบทางเดินหายใจอัตราการไหลสูงในภาวะฉุกเฉินการระบาด COVID-19 ซึ่งไม่เคยมีองค์ความรู้และการผลิตในประเทศไทยมาก่อน เกิดความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชนหลายหน่วยงาน โดยมีหน่วยงานหลักได้แก่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสภากาชาดไทย คณะกรรมการอาหารและยา บริษัท อินทรอนิคส์ จำกัด และบริษัท ไทยเบฟ จำกัด ทั้งในการออกแบบ การทดสอบทางวิศวกรรมและทางการแพทย์ การสอบเทียบมาตรฐานทั้งความปลอดภัยทางไฟฟ้า ความแม่นยำและถูกต้องของเครื่องมือ การขอการอนุมัติของคณะกรรมการจริยธรรมในคน การทดสอบผลการรักษากับผู้ป่วยโควิด-19 (equivalent test) พบว่าได้ผลเท่าเทียมกับเครื่องที่ผลิตและนำเข้าจากต่างประเทศ การระดมทุนจากภาคประชาชน (โดยประมาณ 50 ล้านบาท) นำไปสู่การผลิตเครื่องมือจำนวน 500 เครื่อง และแจกจ่ายไปสู่ 183 โรงพยาบาลใน 42 จังหวัด ครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศ อีกทั้งการออกแบบพัฒนานวัตกรรมได้คำนึงถึงการใช้อุปกรณ์ที่จัดหาได้ในประเทศและในภาวะฉุกเฉิน สามารถขนส่งกระจายออกไปทั่วประเทศ ทำให้โรงพยาบาลต่าง ๆ สามารถประกอบและใช้งานได้ด้วยตนเอง นอกจากนี้ยังมีการจัดทำคู่มือ วีดีโอและจัดอบรมให้ความรู้ในการใช้เครื่องแก่แพทย์ และพยาบาลผู้ใช้เครื่อง การสร้างเครือข่าย line เพื่อสื่อสารแก้ไขปัญหาและติดตามผลการใช้เครื่องอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
โดยช่วงเริ่มพัฒนาโครงการ พบว่าผู้ป่วยมีอัตราตายสูงที่สุด ระหว่าง 257-260 คนต่อวัน ในช่วง 24-31 สิงหาคม 2021 เมื่อเริ่มการแจกจ่ายเมื่อ 8 ตุลาคม 2021 ยังมีอัตราเสียชีวิตรายวันที่ 116 คน จนกระทั้งในต้นเดือนตุลาคม 2022 อัตราตายเฉลี่ย 7 วันลดต่ำกว่า 20 คนต่อวัน นอกจากนี้ระหว่างการดำเนินโครงการ มีจำนวนผู้ป่วย COVID-19 ที่มีอาการหนักได้รับบริการ ไม่น้อยกว่า 5,000 รายทั่วประเทศ
แม้ปัจจุบันสถานการณ์ COVID-19 ในประเทศไทยจะคลี่คลาย แต่โครงการยังคงติดตามการใช้งานของเครื่องบำบัดโรคระบบทางเดินหายใจอัตราการไหลสูงตลอดปี พ.ศ. 2565 โดยพบว่า ยังคงมีโรงพยาบาลถึงร้อยละ 80 ใช้เครื่องตลอด 1 ปี ในการรักษาผู้ป่วยมากกว่า 2,000 คน ในด้านของความเพียงพอของอุปกรณ์ที่ใช้ร่วมกับเครื่องบำบัดโรคระบบทางเดินหายใจอัตราการไหลสูง พบว่า มีโรงพยาบาลที่มีอุปกรณ์พอเพียงร้อยละ 37 และสามารถจัดซื้อเพิ่มเองได้ถึงร้อยละ 63 สะท้อนให้เห็นว่านวัตกรรมนี้สามารถนำไปปรับใช้ในโรงพยาบาลของแต่ละท้องที่ได้เป็นอย่างดี
นับได้ว่านวัตกรรมเครื่องบำบัดโรคระบบทางเดินหายใจอัตราการไหลสูงเป็นนวัตกรรมการบริการแบบใหม่ ซึ่งยังไม่มีหน่วยงานใดเคยดำเนินการมาก่อน เป็นผลงานที่นำไปใช้ได้จริง เพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา COVID-19 ลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยและมีผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมที่สามารถตรวจสอบได้


ที่มา
- คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- สภากาชาดไทย
รายละเอียดที่เกี่ยวข้อง:
อื่นๆ
เปิดภารกิจฟื้นฟูชายฝั่งมาบตาพุด แนวทางสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
นิคมอุตสาหกรรมและท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดตั้งอยู่ในจังหวัดระยอง บนเนื้อที่ทั้งหมด 12,568 ไร่ ปัจจุบันนิคมอุตสาหกรรมแห่งนี้เป็นฐานการผลิตของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของประเทศ และเป็นพื้นที่การลงทุนของอุตสาหกรรมต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ที่สามารถเชื่อมโยงไปยังอุตสาหกรรมการผลิตมากมาย อาทิ อุปกรณ์เครื่องใช้ บรรจุภัณฑ์ อุปกรณ์ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ เสื้อผ้า เฟอร์นิเจอร์ รวมถึงยังช่วยส่งเสริมศักยภาพของอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ
จุฬาฯ กับการพัฒนาที่ยั่งยืนครั้งใหญ่ ใน Chula Sustainability Fest 2022
ในปี 2022 ผลงานที่มีส่วนในการสร้างความยั่งยืนของจุฬาฯ จะไม่อยู่แค่ใน SDGs Report แต่ได้ออกมาสื่อสารในงาน Chula Sustainability Fest 2022 เมื่อวันที่ 2-4 กันยายน 2565 เพื่อสร้าง Commitment สื่อสารนโยบายการพัฒนาที่ยั่งยืนของจุฬาฯ Connect เชื่อมโยงประชาคมจุฬาฯ และ Inspired สร้างแรงบันดาลใจให้ช่วยกันผลักดันการพัฒนาที่ยั่งยืน
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกับภารกิจสู้วิกฤตน้ำมันรั่วไหลพิทักษ์ท้องทะเลไทย
ปัญหาระบบนิเวศชายฝั่งทะเลไทยได้รับผลกระทบจากการรั่วไหลของน้ำมันดิบหลากหลายรูปแบบยังคงได้รับความสนใจจากประชาชนในวงกว้างทุกครั้งที่ถูกนำเสนอโดยสื่อมวลชน เพราะในทุกปี ผู้คนที่อาศัยอยู่ใกล้ชายฝั่งหรือบริเวณป่าชายเลนในประเทศไทยจะพบคราบน้ำมันและก้อนน้ำมันบนชายฝั่งซึ่งเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม สิ่งมีชีวิต และกระทบการท่องเที่ยวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ฟาร์มโคนมไทยเฮ! จุฬาฯ ตั้งศูนย์วิจัยพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยี ยกระดับนมไทยยืนหนึ่งในอาเซียน
ในปี 2563 ประเทศไทย มีกำลังการผลิตน้ํานมดิบจากแม่โคนมในประเทศได้ราว 3,500 ตัน/วัน จากแม่โคทั่วประเทศ ประมาณ 310,000 ตัว โดยแม่โคนมไทยได้รับความนิยมจากประเทศคู่ค้าในสมาชิกอาเซียนและต้องการนำเข้าแม่โคนมจากไทยเพราะสามารถพัฒนาสายพันธุ์ได้เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศเขตร้อนชื้นของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ดี จึงทำให้ไทยสามารถส่งออกแม่โคนมได้ 840 ตัวต่อปี ในขณะที่คู่แข่งทางการค้าที่สำคัญของไทยในภูมิภาคอาเซียนคือออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ที่ส่งออกผลิตภัณฑ์นมเข้ามาจำหน่าย และยังขยายฐานการผลิตเข้ามาแข่งขันตีตลาดของไทย




