ประเทศไทยพบผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองมากขึ้นเรื่อย ๆ ราว 500,000 ราย โดยในแต่ละปีมีผู้ป่วยใหม่มากกว่า 300,000 ราย ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองมากกว่าร้อยละ 70 จำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟูหลังเข้ารับการรักษา ส่งผลค่ารักษาพยาบาลที่หากต้องใช้รักษาผู้ป่วยเหล่านี้สูงกว่า 2 หมื่นล้านบาทต่อปี และยังพบว่าผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองอีกจำนวนมากไม่มีสิทธิ์เข้าถึงการรักษาและการฟื้นฟูสมรรถภาพ ไม่เพียงแต่ปัจจัยด้านค่าใช้จ่าย แต่ประเทศไทยยังขาดแคลนนักกายภาพบำบัด และอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำกายภาพก็มีอยู่อย่างจำกัดเช่นกัน จึงเป็นที่มาของความพยายามพัฒนาหุ่นยนต์กายภาพบำบัดเพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
CUREs Robot (Chulalongkorn University Rehabilitation Exoskeleton/End Effector system) คือหุ่นยนต์ฟื้นฟูสมรรถนะผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ที่ได้รับการพัฒนาจากความร่วมมือระหว่างทีมวิจัยคณะวิศวกรรมศาสตร์และคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่การันตีโดยรางวัลชนะเลิศประเภท “หุ่นยนต์และซอฟต์แวร์สำหรับบริการทางการแพทย์และสาธารณสุข”(Robots and Software for Medical and Public Health Services) จากเวทีประกวด i-MEDBOT Innovation Contest 2021 โดยศูนย์ความเป็นเลิศด้านวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต (องค์การมหาชน) หรือ TCELS กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ในปีที่ผ่านมา
หุ่นยนต์ CURE Robot มีทั้งหมด 5 ประเภท ได้แก่ หุ่นยนต์ฝึกไหล่และข้อศอก 2 ประเภท หุ่นยนต์ฝึกข้อมือ 2 ประเภท และหุ่นยนต์ฝึกสะโพก เข่า และข้อเท้า 1 ประเภท โดยหุ่นยนต์จะฝึกผู้ป่วยให้ใช้แขนและขาได้ขยับยืดเหยียดกล้ามเนื้อ เพื่อกระตุ้นระบบสั่งการสมองผ่านเกมที่น่าสนใจ ทำให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตได้ได้ตามปกติอีกครั้ง หุ่นยนต์สามารถปรับความเร็วและระดับการรองรับได้ตามความต้องการของแพทย์ หากผู้ป่วยพยายามออกกำลังด้วยตนเองแต่ยังไม่สามารถออกแรงได้ หุ่นยนต์จะช่วยผ่อนแรงตามความจำเป็น การออกกำลังกายแต่ละครั้งจะใช้เวลาไม่มาก ครั้งละ 15 นาที และจะได้รับการบันทึกผลการทำกายภาพไว้เพื่อใช้เรียกประกอบการวิเคราะห์พัฒนาการของผู้ป่วย และยังสามารถรายงานผลไปยังทีมแพทย์ผ่านระบบ Cloud Computing Networks
เมื่อเทียบกับวิธีการรักษาแบบเดิมที่มีอยู่ การนำหุ่นยนต์มาใช้ร่วมกับเกมต่าง ๆ ระหว่างการทำกายภาพ ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมซ้ำ ๆ ได้มากขึ้นอย่างสนุกสนานและรู้สึกท้าทาย การรักษาในลักษณะนี้ยังช่วยปรับปรุงการสั่งการสมองและการควบคุมอวัยวะของร่างกายได้ดีขึ้นด้วย แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือผู้ป่วยต้องทุ่มเทเพื่อให้เกิดการฟื้นตัวของอวัยวะอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเราจะเห็นพัฒนาการผ่านหน้าจอภาพที่แสดงภาพกราฟปริมาณการออกแรงของผู้ป่วยที่ได้รับการกายภาพผ่านหุ่นยนต์เหล่านี้
การออกแบบโครงสร้างและระบบ Aerodynamic Control System ให้มีความปลอดภัยสูง และออกแบบให้มีขนาดเล็กให้เคลื่อนย้ายสะดวก เป็นหัวใจของการพัฒนา CUREs Robot ซึ่งสอดคล้องกับสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทย และอยากให้คนไทยได้ใช้นวัตกรรมที่พัฒนาโดยคนไทย 100% ปัจจุบัน CUREs Robot ได้รับการผลิตที่โรงงานต้นแบบที่อาคาร Colombo Building Research Lab ในคณะวิศวกรรมศาสตร์ ภายใต้ความร่วมมือกับ Haxter Robotics บริษัทสตาร์ทอัพที่บ่มเพาะโดย CU Innovation Hub และยังได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO13485 สำหรับการผลิตอุปกรณ์เครืองมือแพทย์ ปัจจุบันหุ่นยนต์ชุดนี้ได้นำไปใช้ให้บริการผู้ป่วยในโรงพยาบาล 12 แห่ง
ที่มา: ศูนย์เทคโนโลยีหุ่นยนต์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
รายละเอียดที่เกี่ยวข้อง:
อื่นๆ
ฟาร์มโคนมไทยเฮ! จุฬาฯ ตั้งศูนย์วิจัยพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยี ยกระดับนมไทยยืนหนึ่งในอาเซียน
ในปี 2563 ประเทศไทย มีกำลังการผลิตน้ํานมดิบจากแม่โคนมในประเทศได้ราว 3,500 ตัน/วัน จากแม่โคทั่วประเทศ ประมาณ 310,000 ตัว โดยแม่โคนมไทยได้รับความนิยมจากประเทศคู่ค้าในสมาชิกอาเซียนและต้องการนำเข้าแม่โคนมจากไทยเพราะสามารถพัฒนาสายพันธุ์ได้เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศเขตร้อนชื้นของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ดี จึงทำให้ไทยสามารถส่งออกแม่โคนมได้ 840 ตัวต่อปี ในขณะที่คู่แข่งทางการค้าที่สำคัญของไทยในภูมิภาคอาเซียนคือออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ที่ส่งออกผลิตภัณฑ์นมเข้ามาจำหน่าย และยังขยายฐานการผลิตเข้ามาแข่งขันตีตลาดของไทย
การวิเคราะห์ลายนิ้วมือน้ำมันดิบ ติดตามมลพิษ: วิทยาลัยปิโตรเลียมและปิโตรเคมีทำงานเพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่กำลังเพิ่มขึ้น
ทุกๆ ปี ผู้คนที่อาศัยอยู่ใกล้ชายฝั่งหรือบริเวณป่าชายเลนในประเทศไทยจะพบคราบน้ำมันและก้อนน้ำมันบนชายฝั่ง ซึ่งเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม สิ่งมีชีวิต และกระทบการท่องเที่ยว โดยในช่วงหลังๆ ปริมาณก้อนน้ำมันที่พบเห็นเพิ่มมากขึ้น แสดงให้เห็นถึงปัญหาที่เลวร้ายมากขึ้น
“Chula-Cov19” วัคซีน mRNA สัญชาติไทยขยับเข้าใกล้ความสำเร็จ
ของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในประเทศไทยตลอดช่วงสองปีที่ผ่านมาทำให้เราได้เห็นศักยภาพของ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ที่มีส่วนช่วยให้ประเทศไทยรับมือกับวิกฤติด้านสาธารณสุขระดับโลกนี้ได้ดี ทั้งความพร้อมด้านการบริหารจัดการสถานที่ แพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ ตลอดจนการนำทักษะ องค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมล้ำสมัย เข้ามาใช้ดูแลพี่น้องประชาชนตามมาตรฐานสากลและเฝ้าระวังการแพร่ระบาดตามมาตรการที่องค์การอนามัยโลกประกาศไว้
“Chula-Cov19” วัคซีน mRNA สัญชาติไทยขยับเข้าใกล้ความสำเร็จ
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยตลอดช่วงสามปีที่ผ่านมาทำให้เราได้เห็นศักยภาพของ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย มีส่วนช่วยให้ประเทศไทยรับมือกับวิกฤติด้านสาธารณสุขระดับโลก