กรณีศึกษา

CU Innovations for Society ภารกิจกู้วิกฤติโควิด-19 เพื่อคนไทย

ตั้งแต่ปลายปี 2019 เมื่อโลกถูกเขย่าอย่างรุนแรงด้วยเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ที่แพร่ระบาดจนกลายเป็นโรคอุบัติใหม่ “โควิด-19” ปลุกให้ทุกประเทศต่างต้องออกมาตรการดูแลประชาชนของตนเอง ตามแนวทางขององค์การอนามัยโลก (WHO) รวมถึงประเทศไทยที่มีมาตรการหลากหลายรูปแบบทั้งปิดเมือง ล็อกดาวน์ประเทศ ปิดสนามบิน กำหนดสถานที่กักตัวที่รัฐจัดให้ (State Quarantine & Local Quarantine) กำหนดเวลาเคอร์ฟิวเปิดปิดธุรกิจห้างร้าน รวมถึงมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ปรับตัวเข้มงวดและยืดหยุ่นระคนกันไปได้ผลดีมากน้อยแตกต่างกันตามสถานการณ์ระบาดแต่ละช่วง  โดยหากเจาะลึกลงมาเฉพาะประเทศไทยที่สามารถรับมือกับสถานการณ์ได้เป็นอย่างดีในช่วงขวบปีแรกของการระบาดจนทั่วโลกต่างประสานเสียงชื่นชมคนไทย และ  Global COVID-19 Index (GCI) เคยยกให้ไทยอยู่ในลำดับที่ 1 ของการฟื้นตัวจากสถานการณ์โรคโควิด-19 ซึ่งสำรวจจาก 184 ประเทศมาแล้ว

ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ไทยก้าวมายืนหนึ่งเหนือคนทั้งโลกได้ในขณะนั้น นอกจากความสมัครสมานสามัคคีร่วมแรงร่วมใจกันเป็นหนึ่งของทั้งหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา ตลอดจนประชาชนแล้ว ต้องนับว่าเราโชคดีที่ได้นวัตกรรมจากกลุ่มสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ที่ปวารณาตัวอาสาขอนำองค์ความรู้ที่มีมาปรับใช้บูรณาการให้สอดรับกับสถานการณ์เพื่อดูแลคนไทยอย่างสุดความสามารถ

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยศูนย์กลางนวัตกรรมแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CU Innovation Hub) เป็นอีกหนึ่งหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญเร่งพัฒนานวัตกรรมนำรับใช้ชาติกู้สถานการณ์โควิด-19 ดูแลคนไทยครบทุกมิติทั้งป้องกัน (Prevent) ปกป้อง (Protect) และรักษา (Cure) ด้วย “นวัตกรรมจุฬาฯ” ได้บ่มเพาะสตาร์ทอัพที่พร้อมยกระดับสู่นวัตกรรมเชิงวันนี้เรามีสตาร์ทอัพสัญชาติจุฬาฯ แล้วกว่า 300 ทีม ช่วยแก้ปัญหาด้านต่าง ๆ ของประเทศอยู่ในขณะนี้ ได้ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยได้แล้วกว่า 2 ล้านคนในพื้นที่ 52 จังหวัดทั่วประเทศ หรือคิดเป็นร้อยละ 80 และยังสามารถต่อยอดขยายไปยังประเทศเพื่อนบ้านในเอเชีย

เร่งจูนสตาร์ทอัพรับโควิด-19 ปั้น New Service Innovation

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ติดตามและประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดอย่างใกล้ชิดและใช้เวลาไม่ถึงสัปดาห์คัดเลือกสตาร์ทอัพที่มีความพร้อมร่วมภารกิจโดยปรับแพลตฟอร์มที่ดำเนินการอยู่บูรณาการเป็นนวัตกรรมบริการ “Chula COVID-19 Strip Test Service : กระบวนการตรวจภูมิคุ้มกันแบบว่องไว” เปิดให้บริการ ณ ศูนย์บริการสุขภาพจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมีสตาร์ทอัพ 6 ทีมรวมอยู่ในทุกขั้นตอนการให้บริการ อาทิ เป็ดไทยสู้ภัย, Dr.A-Z, RAKSA, QueQ เป็นต้น โดยมี Baiya COVID-19 Strip Test นวัตกรรมเรือธงที่ใช้ตรวจภูมิคุ้มกันว่องไวทราบผลตรวจได้ภายใน 10-15 นาที

ผลงานเด่นจากสตาร์ทอัพ “Baiya Phytopharm” ที่ปรับแพลตฟอร์มการผลิต Plant Based Gross Factor ให้เป็นนวัตกรรมรับมือโควิด-19 เพื่อคนไทยในทันทีที่ได้รับการส่งสัญญานให้ร่วมภารกิจนี้ และที่มากไปกว่านั้นนวัตกรรมชุดตรวจภูมิคุ้มกันแบบว่องไวนี้ยังถูกนำไปขยายผลเป็นงานวิจัยที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในวงกว้าง (Actual-Use Research) ที่เอื้อประโยชน์ให้บุคลากรทางการแพทย์ในช่วงโควิด-19 ระบาดทั้งช่วยลดความหนาแน่นของผู้มารับบริการ ณ สถานพยาบาล กระชับเวลาทราบผลตรวจ ลดความเสี่ยงติดเชื้อให้กับบุคลากรทางการแพทย์ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ตรวจ RT-PCR และยังช่วยเพิ่มความมั่นใจให้แพทย์กล้ารักษาเฉพาะด้าน เช่น การผ่าตัดฉุกเฉิน การทำคลอด เป็นต้น

ขยายผลสู่ปัตตานีโมเดล

Chula COVID-19 Strip Test Service ไม่เพียงช่วยคัดกรองผู้ป่วยในเขตเมืองหลวงเพียงเท่านั้น แต่ชุดตรวจภูมิคุ้มกันแบบว่องไวของ Baiya Phytopharm ยังถูกส่งไปใช้ในถิ่นทุรกันดารชายแดนภาคใต้ที่มีความเสี่ยงสูงภายใต้โครงการ “ปัตตานีโมเดล” ช่วยให้การบริหารจัดการพื้นที่กักกันโรคแห่งรัฐระดับจังหวัด (Local Quarantine) ชายแดนไทย-มาเลเซียมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยได้ประสานงานกับระบบสารสนเทศงานสุขภาพภาคประชาชน กองสนับสนุนสุขภาพภาคประชาชน กระทรวงสาธารณสุขให้ช่วยเข้ามาติดตามผลจากผู้ที่เดินทางเข้ามาจากมาเลเซีย ดูแลด้านสุขภาพ ลดความทุกข์ทรมานจิตใจ ลดภาระงานในส่วนพื้นที่กักกันโรคแห่งรัฐระดับจังหวัดพร้อมประเมินสถานการณ์เพื่อนำไปสู่มาตรการคลายล็อกดาวน์ ซึ่งการตรวจวัดระดับภูมิคุ้มของคนในพื้นที่นี้ยังถือเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลกลุ่มตัวอย่างคนไทยมากกว่า 10,000 คน เพื่อใช้ประเมินภาพรวมด้านประชากรศาสตร์ขนาดใหญ่ ดูแนวโน้มระดับภูมิคุ้มกันภายหลังได้รับเชื้อ พร้อมศึกษาพฤติกรรมของโรคโควิด-19 และการแสดงออกของอาการจากโรค ก่อนขยายผลต่อยอดวิจัยพัฒนาวัคซีน ทั้งศึกษาปริมาณวัคซีนที่เหมาะสมต่อบุคคลที่ควรได้รับ ซึ่งก่อนหน้านี้ยังไม่เคยมีการศึกษามาก่อน จึงถือเป็นความสำเร็จจากความร่วมมือทางไกลระหว่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและจังหวัดปัตตานีที่อยู่ห่างไกลกันพันกิโลเมตร ในช่วงเวลากว่า 2 เดือน

ใช้หุ่นยนต์ช่วยเซฟหมอ

นอกจากนี้ จุฬาฯ ภายใต้การสนับสนุนจากสมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (สนจ.) ยังได้ส่งทีมสตาร์ทอัพสายหุ่นยนต์จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ ในชุด “CU RoboCOVID” ทั้ง “น้องปิ่นโต” และ “น้องกระจก” นับร้อยตัวส่งเข้าประจำการช่วยเสริมมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม ลดความเสี่ยงจากการปฏิบัติหน้าที่ให้บุคลากรทางการแพทย์ ช่วยลำเลียงน้ำ อาหาร และยารักษาโรค ส่งให้ผู้ป่วยได้จากทางไกลได้อย่างรวดเร็ว ลดความเสี่ยงในการสัมผัสกับผู้ติดเชื้อ ร่นระยะเวลาในการทำงาน ลดปริมาณการใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) ถุงมือ และหน้ากากอนามัย โดยส่งมอบให้มูลนิธิชัยพัฒนานำไปจัดสรรมอบให้โรงพยาบาลในเครือข่ายกว่า 70 แห่งทั่วประเทศไทย

เสริมความแข็งแกร่งให้หน้ากากผ้า

โควิด-19 ยังได้สร้างปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมไว้อย่างไม่น่าเชื่อจากปริมาณขยะติดเชื้ออย่างหน้ากากอนามัย สตาร์ทอัพจุฬาฯ “Nabsolute” จึงเร่งพัฒนานวัตกรรมสเปรย์เพิ่มประสิทธิภาพหน้ากากผ้าให้ทดแทนหน้ากากอนามัยที่กำลังขาดแคลนในขณะนั้น ช่วยป้องกันได้ทั้งเชื้อโรคโควิด-19 และฝุ่นจิ๋ว PM2.5 ไปได้พร้อมกันในการฉีดพ่นคราวเดียว ซึ่งต่อมานวัตกรรมนี้ได้รับการจดอนุสิทธิบัตรเทคโนโลยี Shield+ และจับมือกับ Tigerplast ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เวชภัณฑ์ เครื่องสำอาง และเครื่องมือแพทย์ รายใหญ่ของไทย เร่งผลิตป้อนตลาดช่วยเพิ่มทางเลือกและความมั่นใจในช่วงสถานการณ์ที่จำเป็นต้องพึ่งพาหน้ากากป้องกันตนเองของคนไทย

ก้าวต่อไปมุ่งหน้าผลิตวัคซีนเพื่อคนไทย

จากความสำเร็จของแพลตฟอร์มชุดตรวจโควิดว่องไว (Baiya Rapid Strip Test) ของบริษัท ใบยา ไฟโตฟาร์ม จำกัด ได้พัฒนาต่อยอดสู่การพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด-19 จากใบพืช ด้วยกระบวนการผลิตโมเลกุลโปรตีนลูกผสม (recombinant protein) ซึ่งเป็นชิ้นส่วนของไวรัสที่สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ และนำไปทดสอบในสัตว์ทดลอง ได้แก่ หนูขาวและลิง จนสำเร็จในระดับห้องปฏิบัติการ และขยายผลการทดสอบวัคซีนในมนุษย์ เฟส 1 แล้ว เมื่อเดือนสิงหาคม 2564 และหากได้ผลดี ก็คาดว่าประเทศไทยจะสามารถผลิตวัคซีนป้องโควิด-19 ได้เองภายในประเทศตั้งแต้ต้นน้ำ หลังกลางปี 2565
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของผลสัมฤทธิ์เชิงประจักษ์จากการบ่มเพาะสตาร์ทอัพจนเกิดเป็นนวัตกรรมขับเคลื่อนสังคมดูแลคนไทยโดยเฉพาะในยามยากจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สะท้อนวิสัยทัศน์ของมหาวิทยาลัยในศตวรรษที่ 21 ที่ว่า “Innovations for society”

เสริมระบบสาธารณสุขไทยเข้มแข็งด้วย “กล่องรอดตาย” และระบบติดตามอาการผู้ป่วย Home Isolation

ช่วงกลางปี 2564 สถานการณ์การระบาดของเชื้อโคโรน่าไวรัส ในประเทศไทยกลับมาแพร่กระจายในวงกว้างอีกครั้ง ส่งผลให้มียอดปริมาณผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ มากถึงวันละกว่าหมื่นราย  จนพบตัวเลขผู้ติดเชื้อสะสมภายในประเทศพุ่งสูงขึ้นเกินหนึ่งล้านคน  รัฐบาลจึงจำเป็นต้องออกมาตรการปิดเมืองในหลายพื้นที่  รวมถึงพื้นที่เมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานครด้วย อัตราการครองเตียงในหอผู้ป่วยทุกโรงพยาบาลเต็มอย่างต่อเนื่อง รวมถึงโรงพยาบาลสนามก็ไม่อาจรับผู้ติดเชื้อไว้ได้ จากปัญหานี้ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ และสมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (สนจ.) จึงได้ร่วมมือกับสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง (สปคม.) กรมควบคุมโรค และภาคีเครือข่ายสตาร์ทอัพอย่าง Engine Life และ The Sharpener จัดทำชุด Home Isolation Kit หรือ “กล่องรอดตาย” เพื่อส่งมอบให้กับผู้ตรวจยืนยันว่าติดเชื้อโควิด19 กลุ่มสีเขียวที่จำต้องแยกกักตัวรักษาอยู่บ้านระหว่างรอเตียง

กล่องรอดตาย 1 ชุด ประกอบด้วยยาและเวชภัณฑ์ที่จำเป็น 6 รายการ ประกอบด้วย ปรอทวัดไข้ เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว ยาพาราเซตามอล ยาฟ้าทลายโจร หน้ากากอนามัย และเจลแอลกอฮอล์ นอกจากนี้ยังได้พัฒนาระบบติดตามอาการผ่าน LINE Official เพื่อให้ผู้ป่วยกับบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่อาสาสมัครกล่องรอดตายสามารถสื่อสารส่งค่าอุณหภูมิร่างกายและความเข้มข้นของออกซิเจนในเลือดเพื่อใช้แสดงสถานะอาการป่วยขณะกักรักษาตัวอยู่ที่บ้านได้อย่างใกล้ชิด นอกจากนี้อาสาสมัครยังช่วยคอยแนะนำและให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ตลอดจนซักถามติดตามอาการได้ตลอด 24 ชั่วโมงอีกด้วย  ปัจจุบัน กล่องรอดตายถูกส่งออกไปแล้วทั่วประเทศกว่า 20,000 กล่อง และผู้ใช้งาน LINE Official นี้แล้วกว่า 80,000 ราย

ข้าวแสนกล่อง

การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในเมืองหลวงระลอกใหม่ทวีความรุนแรงเข้าขั้นวิกฤต สมาคมนิสิตเก่าจุฬาฯ (สนจ.) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดย คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ จึงได้ร่วมมือกับ มูลนิธิคุวานันท์ และเครือข่าย Food For Fighters ที่ได้รับการสนับสนุนาจาก UNDP จึงได้เปิดพื้นที่ตั้ง “ศูนย์ข้าวเพื่อหมอ” ให้เป็นศูนย์กลางรับบริจาคจากผู้จิตศรัทธาและกระจายอาหารกล่อง และสิ่งของที่จำเป็นเพื่อช่วยเหลือบุคลากรผู้ปฏิบัติหน้าที่ในโรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม ชุมชนแออัด และกลุ่มพื้นที่เปราะบางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภายใต้แคมเปญ “ข้าวแสนกล่อง” โดยข้าวแต่ละกล่องจะมี QR Code ติดไว้ที่ฝากล่องข้าวเพื่อให้สแกนเข้าสู่ระบบสอบถามความต้องการขอรับความช่วยเหลือจากแต่ละครัวเรือน โดยเฉพาะการขอรับคำปรึกษาปัญหากฎหมายในระหว่างที่ต้องกักตัว นับเป็นอีกนวัตกรรมการบริการที่เข้าถึงและช่วยเยียวยาผู้ประสบภัยในช่วงโควิด โดยตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ถึงตุลาคม 2564 ศูนย์ได้รับข้าวกล่องและนำส่งให้ผู้ได้รับผลกระทบแล้วกว่า 540,000 กล่อง ในพื้นที่ 25 เขตในกรุงเทพมหานคร และอีก 7 จังหวัด 

ที่มา:

ศูนย์กลางนวัตกรรมแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
สมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์

บทความที่เกี่ยวข้องฉบับก่อนหน้า:

รายละเอียดที่เกี่ยวข้อง:

อื่นๆ

ธนาคารปูม้า เกาะสีชัง ต้นแบบศูนย์เรียนรู้เพิ่มทางรอดปูม้าไทยคืนสู่ท้องทะเล

เมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2563 มีชาวประมงที่จับปูม้าที่ท้องนอกกระดองมาให้ ศูนย์เรียนรู้ธนาคารปูม้าบนบก อำเภอเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี เป็นจำนวน 457 ตัว เพื่อเพาะเป็นลูกปูม้า ศูนย์สามารถดูแลปูไข่จนลูกปูม้าถึง 565,219,724 ตัว และแม้ลูกปูม้าจะมีเปอร์เซนต์รอดชีวิตที่ 40-60% ศูนย์ก็ยังสามารถเอาลูกปูม้าไปปล่อยในทะเลได้มากเกินกว่า

โครงการและกิจกรรมเพื่อสังคมของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย: การส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีให้กับชุมชน

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีการดำเนินกิจกรรมและโครงการส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยครอบคลุมประชาชนทั่วไป รวมถึงผู้สูงอายุ ผู้ด้อยโอกาส ผู้อพยพ และผู้ลี้ภัย ภายในชุมชนต่าง ๆ

ร่วมมือกับ NGOs เพื่อขับเคลื่อน SDGs ผ่านกิจกรรมการอาสาสมัครของนิสิต

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีวิสัยทัศน์ในการเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนในหลายๆ ด้าน ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม สังคม และเศรษฐกิจ ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับเป้าหมาย SDGs ทั้งหมด จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยร่วมมือกับหลายองค์กร ทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ และองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร(NGOs) โดยนิสิตมีบทบาทสำคัญในการผลักดันเป้าหมาย SDGs ในด้านต่างๆ โดยเข้าร่วมในโครงการอาสาสมัครต่างๆ

เกม “Urban Green มหานครสีเขียว” เพื่อการเรียนรู้ความสำคัญของพื้นที่สีเขียวในเมือง

นับตั้งแต่ช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรม ประชากรมนุษย์ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมากกว่าครึ่งหนึ่งของประชากรในปัจจุบันอาศัยอยู่ในเมือง ซึ่งคาดว่าแนวโน้มนี้จะดำเนินต่อไป เป็นเหตุให้เกิดการขยายตัวของชุมชนเมือง การขยายตัวของเมืองส่งผลกระทบต่อการใช้ที่ดินและรูปแบบของความหลากหลายทางชีวภาพ ทำให้พื้นที่สีเขียวที่มีตามธรรมชาติที่ลดลง เป็นไปได้ที่จะกล่าวว่าการขยายตัวของเมืองเป็นสาเหตุหลักของการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต

ไอคอน PDPA

เราใช้คุกกี้เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของคุณ (ตั้งค่า)

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

Accept All
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • Necessary cookies
    เปิดใช้งานตลอด

    Necessary cookies are essential for the functioning of the website, allowing you to use and browse the site normally. You cannot disable these cookies in our website's system.

  • คุกกี้วิเคราะห์เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การใช้งาน

    คุกกี้เหล่านี้ใช้เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งานเว็บไซต์ เช่น จำนวนผู้เข้าชม, หน้าเว็บที่ได้รับความนิยม และพฤติกรรมการท่องเว็บ ซึ่งช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์ปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ได้

  • คุกกี้การทำงานเพื่อจดจำการตั้งค่าผู้ใช้

    คุกกี้เหล่านี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานเว็บไซต์ โดยจดจำการตั้งค่าที่ผู้ใช้เคยกำหนดไว้ เช่น ชื่อผู้ใช้, ภาษา, ภูมิภาค หรือการปรับแต่งเว็บไซต์ตามความต้องการ

Save