สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์ และศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดการเสวนาในซีรีส์ SDG14 ชีวิตในน้ำ (SDG 14 Life Below Water) การอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากมหาสมุทรและทรัพยากรทางทะเล เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ผ่านระบบออนไลน์ ด้วยโปรแกรม Zoom meeting ในหัวข้อต่าง ๆ ตลอดเดือนกันยายน 2564 ที่ผ่านมา อาทิ

  • Marine debris and microplastics: current research and techniques
  • ประเทศไทยกับการฟื้นฟูปะการังในอนาคต
  • Current coral reef restoration in a changing world
  • Science for sustainable use of the ocean: SDG 14 life below water

โดยได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิและนักวิจัยทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศเข้าร่วมการเสวนา และมีผู้เข้าร่วมการเสวนาประมาณกว่า 200 คน ทั้งนี้ การจัดเสวนาซีรีส์ SDG14 ชีวิตในน้ำมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนให้นักวิจัยไทยและนักวิจัยชาวต่างประเทศทำการวิจัยร่วมกันและมีโอกาสแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญทางวิชาการ รวมถึงส่งเสริมการวิจัยในประเทศไทยให้กว้างขวาง เกิดผลงานที่สามารถนำไปใช้ในการพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้า มั่นคง ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและผลประโยชน์ที่ประเทศควรจะได้รับ ซึ่งในหัวข้อ “ประเทศไทยกับการฟื้นฟูปะการังในอนาคต” นั้น ได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานภาครัฐ อาทิ ดร.ลลิตา ปัจฉิม จากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง คุณวิกานดา พ่วงเจริญ จากกรมประมง และนักวิจัยชาวไทย อาทิ ดร.นลินี ทองแถม นักวิชาการอิสระ ผศ.ดร.นรินทร์รัตน์ คงจันทร์ศรี จากมหาวิทยาลัยบูรพา และ ศ.ดร.วรณพ วิยกาญจน์ ร่วมการเสวนา

นอกจากนี้ ยังเป็นการประสานความร่วมมือด้านการวิจัยและวิชาการกับต่างประเทศด้านต่าง ๆ ทั้งการดำเนินการเชิงรุกเพื่อขยายเครือข่ายความร่วมมือ ตลอดจนเสริมสร้างความร่วมมือที่มีอยู่ให้เข้มแข็ง เพื่อถ่ายทอดความรู้เชิงวิชาการจากต่างประเทศแก่สาธารณชน ให้เกิดการนำไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงาน การทำวิจัย การพัฒนาชุมชนท้องถิ่นและประเทศ ซึ่งเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนภารกิจของกองการต่างประเทศและนโยบายของ วช. ให้บรรลุเป้าหมาย โดยได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิและนักวิจัยชาวต่างประเทศมาร่วมการเสวนา อาทิ นักวิจัยจากองค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติ (NOAA) Dr. Tali Vardi กับหัวข้อ “Current Coral Reef Restoration in a Changing World” และผู้แทนจาก ยูเนสโก กรุงเทพฯ (UNESCO Bangkok: องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ) ผู้อำนวยการ มร. Shigeru Aoyagi และเลขาธิการ ดร.Vladimir Ryabinin ร่วมกับ มร. Wenxi Zhu หัวหน้าสํานักเลขาธิการคณะอนุกรรมาธิการสมุทรศาสตร์ระหวางรัฐบาลภาคพื้นแปซิฟิกตะวันตก (UNESCO-IOC/ WESTPAC) พร้อมกับหัวหน้าผู้แทนไจก้าประจำประเทศไทย (JICA Thailand) มร. Takahiro Morita และนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยในประเทศญี่ปุ่น รวมถึงยังมีผู้เชี่ยวชาญชาวไทย จากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) อธิการบดีของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอเล็กซ์ เรนเดลล์ ทูตสันถวไมตรีแห่งชาติด้านสิ่งแวดล้อม จากโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) ร่วมเสวนาในครั้งนี้

ที่มา:

คณะวิทยาศาสตร์  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

รายละเอียดที่เกี่ยวข้อง

อื่นๆ

จุฬาฯ หวังเพิ่มประชากรเต่าทะเล หนุนตั้งเครือข่ายคุ้มครองแหล่งวางไข่ในอ่าวไทย

จำนวนเต่าทะเลในประเทศไทยลดลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 แม้รัฐบาลจะประกาศใช้กฎหมาย กำหนดเขตหวงห้าม ประกาศขึ้นทะเบียนเต่าทะเลในบัญชีรายชื่อของอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งพันธุ์พืชป่าและสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ (CITES) และพยายามสำรวจและศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งอาศัยของเต่าทะเล เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ในการอนุรักษ์เต่าทะเลก็ตาม แต่จำนวนของเต่าทะเลในประเทศไทยยังคงลดลงจนใกล้ถึงจุดวิกฤต จากจำนวนมากกว่า 2,500 รังต่อปี เมื่อ 50 ปีที่แล้ว ปัจจุบันเหลือเพียงปีละ 300-400 รังต่อปี เท่านั้น

สผ. ร่วมกับ GIZ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หารือผู้เชี่ยวชาญในประเด็นความเสี่ยงของพืชเศรษฐกิจหลัก และข้อเสนอเชิงนโยบาย ด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาคเกษตรของประเทศไทย

เพื่อรับฟังความคิดเห็นต่อผลการวิเคราะห์ประเด็นความเสี่ยงจากปัจจัยคุกคามทางสภาพอากาศต่อการเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจหลักในแต่ละพื้นที่ย่อย โดยมีผู้เชี่ยวชาญ ผู้แทนจากสถาบันการศึกษา และภาครัฐ เข้าร่วมการประชุม

เทคโนโลยีราไมคอร์ไรซาเพื่อการปลูกและฟื้นฟูป่าอย่างสร้างสรรค์และยั่งยืนในทุกพื้นที่ของประเทศไทย

ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ตามรายงานของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร้อยละ 31-33 ของประเทศไทยเป็นพื้นที่สีเขียว ประเทศไทยให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูและปกป้องผืนป่าโดยกำหนดยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ.2561-2580) วางเป้าหมายในการขยายพื้นที่ป่าให้เป็นร้อยละ 40 ของพื้นที่ทั่วประเทศ

ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ (EID): ภารกิจวิจัย วินิจฉัย ป้องกัน รักษา และควบคุมโรคอุบัติใหม่เพื่อมวลมนุษยชาติ

ช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมาโลกเผชิญหน้ากับการระบาดของโรคอุบัติใหม่ ที่ทวีความรุนแรงขึ้นมาอย่างต่อเนื่องทั้งไวรัสซิกา ไวรัสอีโบลา ไวรัสเมอร์ส และล่าสุดที่มวลมนุษยชาติกำลัง ประสบอยู่นั้นคือโรคอุบัติใหม่ที่เกิดจากเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ระบาดใหญ่จนมีผู้ติดเชื้อมากกว่า 219 ล้านคน และคร่าชีวิตคนหลากชาติพันธุ์ไปแล้วกว่า 4.55 ล้านคน