การสนับสนุนขับเคลื่อนการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนของจุฬาฯ ในพื้นที่นอกมหาวิทยาลัย ปี 2567-2568
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมุ่งมั่นขับเคลื่อนการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน ไม่เพียงแต่ภายในมหาวิทยาลัย แต่ยังขยายผลสู่การดำเนินงานภายนอกพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม ผ่านความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และชุมชนท้องถิ่น เพื่อส่งเสริมการจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวอย่างโครงการและการดำเนินงานในช่วงปี 2567–2568
CU x NTU: พลังนิสิตสองสถาบันสู่การอนุรักษ์น้ำและการพัฒนาชุมชนที่น่าน
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสนับสนุนการอนุรักษ์น้ำภายนอกพื้นที่มหาวิทยาลัยอย่างเป็นรูปธรรม ผ่าน “โครงการ CU x NTU Overseas Community Engagement Project 2024” ซึ่งจัดขึ้นโดยความร่วมมือกับ Nanyang Technological University (NTU) ประเทศสิงคโปร์ โครงการนี้มีนิสิตจากทั้งสองสถาบันเข้าร่วม โดยมีสำนักบริหารกิจการนิสิต จุฬาฯ เป็นผู้จัดหลัก ร่วมกับศูนย์เครือข่ายการเรียนรู้เพื่อภูมิภาค และสำนักวิชาทรัพยากรการเกษตร โดยนิสิตจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ Nanyang Technological University (NTU) ร่วมกันซ่อมแซมฝายชะลอน้ำ เรียนรู้การจัดการน้ำ และทำ Mini Hackathon เพื่อพัฒนาชุมชน ณ ศูนย์เครือข่ายการเรียนรู้เพื่อภูมิภาค จังหวัดน่าน และพื้นที่ป่าชุมชน รวมถึงวิสาหกิจชุมชนในท้องถิ่น ระหว่างวันที่ 12 – 23 ธันวาคม 2567
หัวใจสำคัญของโครงการนี้คือการให้นิสิตได้ “ลงมือปฏิบัติจริง” ในการซ่อมแซมฝายชะลอน้ำในพื้นที่ป่าชุมชน จังหวัดน่าน ซึ่งสะท้อนถึงการนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ต่อสังคมในทางปฏิบัติ เพื่อการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่สูงอย่างยั่งยืน โดยนิสิตไม่เพียงแต่ได้ออกแรงทำงาน แต่ยังได้เรียนรู้ผ่านการบรรยายเชิงปฏิบัติการเรื่องการบริหารจัดการน้ำและปัญหาการเกษตรในพื้นที่ จากคณาจารย์และปราชญ์ชาวบ้านโดยตรง
นอกจากมิติด้านการอนุรักษ์น้ำแล้ว โครงการยังได้บูรณาการความรู้สู่การพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน (SDGs) นิสิตได้ลงพื้นที่ศึกษาโมเดลธุรกิจจากวิสาหกิจชุมชนบ้านน้ำเกี๋ยน และร้านกาแฟท้องถิ่น เพื่อเก็บข้อมูลสำหรับกิจกรรม “Mini Hackathon” ในการระดมสมองหาแนวทางพัฒนาจังหวัดน่าน โดยมุ่งเน้นการขจัดความหิวโหย ความยากจน และการอนุรักษ์ชีวิตบนบก (SDG 1, 2, 15) โครงการนี้จึงเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนานิสิตให้เป็น “Global Citizen” หรือพลเมืองโลกที่ไม่ทอดทิ้งท้องถิ่น สร้างเครือข่ายความร่วมมือ (SDG 17) และสร้างแรงบันดาลใจให้นิสิตตระหนักถึงการมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมอย่างแท้จริง
[ https://www.chula.ac.th/news/209442/ ]
จุฬาฯ ร่วมมือ SCGC ปลูกจิตสำนึกเยาวชนอนุรักษ์ป่าและจัดการน้ำชุมชนอย่างยั่งยืน
เมื่อเดือนเมษายน 2567 บริษัท SCGC จับมือกับศูนย์การศึกษาทั่วไป จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (GenEd Chula) เปิดรายวิชา “ผู้พิทักษ์ป่าต้นน้ำ” (Watershed Forest Protector) เพื่อสร้างความตระหนักรู้ด้านสิ่งแวดล้อมแก่เยาวชน และส่งเสริมความเข้าใจเรื่องระบบนิเวศ ป่าต้นน้ำ และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ โดยเปิดให้นิสิตทุกคณะสามารถลงทะเบียนเรียนได้
ในภาคการศึกษา 2/2566 มีนิสิตจำนวน 35 คนเข้าศึกษา และในเดือนเมษายน 2567 อาจารย์และนิสิตได้เดินทางลงพื้นที่จังหวัดระยอง เพื่อศึกษาการฟื้นฟูระบบนิเวศที่เขาใหญ่ดาและการบริหารจัดการน้ำของชุมชนมาบชัน พร้อมร่วมกันสร้างฝายชะลอน้ำเพื่อรักษาแหล่งน้ำของชุมชน นิสิตได้เรียนรู้ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติจริง เช่น การใช้เครื่องมือวัดความชื้นในดิน การประเมินภาวะภัยแล้ง และการจัดสรรน้ำในระดับชุมชน
โครงการนี้สะท้อนให้เห็นถึงการต่อยอดองค์ความรู้จากห้องเรียนสู่พื้นที่จริง โดยมหาวิทยาลัยทำงานร่วมกับภาคเอกชนและชุมชนท้องถิ่น เพื่อพัฒนาโมเดล “เก็บน้ำดี ใช้น้ำเป็น” และระบบจัดการน้ำอย่างยั่งยืน ที่ชุมชนมาบชันและเขาใหญ่ดาได้ดำเนินมาตั้งแต่ปี 2550 จนสามารถฟื้นฟูป่าและระบบนิเวศให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และลดอุณหภูมิเฉลี่ยของพื้นที่ได้ถึง 1.6 องศาเซลเซียส
ความร่วมมือครั้งนี้เป็นตัวอย่างชัดเจนของการที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนำความรู้ทางวิชาการออกไปใช้ประโยชน์นอกมหาวิทยาลัย เพื่อสนับสนุนการอนุรักษ์น้ำ การฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ และการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืนในระดับพื้นที่จริง
[ https://www.scgchemicals.com/en/articles/news/1716779311 ]
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเสริมสร้างความร่วมมือด้านวิจัยสิ่งแวดล้อมระดับภูมิภาคผ่านการประชุม SEAES 2025
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยคณะวิทยาศาสตร์ ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล และสถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำ ร่วมกับสถาบันวิจัยแห่งชาติฝรั่งเศสเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (IRD) และสถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการระดับภูมิภาค “2nd SEAES Regional Workshop: Southeast Asia Environmental Systems” ระหว่างวันที่ 17–20 มิถุนายน 2568 ณ อาคารจามจุรี 10 ภายใต้หัวข้อหลัก “Climate, Global Health, and Resources & Livelihoods in Aquatic Socio-Ecosystems”
การประชุมครั้งนี้มุ่งส่งเสริมความร่วมมือด้านวิชาการและการพัฒนาองค์ความรู้ร่วมกันระหว่างนักวิจัยและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเน้นการบูรณาการข้อมูลวิทยาศาสตร์และนโยบายเพื่อตอบสนองต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมและสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับระบบนิเวศทางน้ำ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มลพิษทางน้ำ และความมั่นคงทางอาหาร
หนึ่งในไฮไลท์คือการบรรยายของ ศ.ดร.สุชนา ชวนิชย์ รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำ จุฬาฯ ในหัวข้อ “Bridging Science and Society for Resilient Aquatic Ecosystems in Southeast Asia” ซึ่งเน้นบทบาทของวิทยาศาสตร์ในการขับเคลื่อนการอนุรักษ์ ฟื้นฟูระบบนิเวศทางน้ำ และสร้างความร่วมมือระหว่างนักวิจัย ชุมชน และหน่วยงานรัฐ พร้อมตัวอย่างงานวิจัยด้านปะการัง มลพิษทางทะเล และการเปลี่ยนแปลงขั้วโลกที่ส่งผลต่อภูมิภาค
กิจกรรมตลอด 4 วันประกอบด้วยการบรรยาย workshop แบบสหวิทยาการ นิทรรศการโปสเตอร์ และการประชุมเชิงนโยบาย โดยมีพิธีลงนามความร่วมมือระหว่างจุฬาฯ และ IRD ณ สถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศส
การประชุมครั้งนี้สะท้อนบทบาทของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในฐานะผู้นำด้านวิชาการและการสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ ภูมิภาค และระดับโลก เพื่อขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและความมั่นคงทางน้ำอย่างเป็นรูปธรรม
[ https://www.chula.ac.th/news/244059/ ]
ค่ายวิศวพัฒน์ : การพัฒนาชุมชนตามแนวพระราชดำริ ด้วยพลังแห่งวิศวกรรมและจิตอาสา
ค่ายวิศวพัฒน์ เป็นโครงการค่ายอาสาพัฒนาชนบทของคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ริเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 ภายใต้การดูแลของ รองศาสตราจารย์ ดร.สรรเพชญ ชื้อนิธิไพศาล อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมสำรวจ เพื่อส่งเสริมให้นิสิตได้นำความรู้ทางวิศวกรรมไปพัฒนาและแก้ปัญหาของชุมชน โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล โครงการนี้ได้รับแรงบันดาลใจจาก พระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทรงเน้นการพัฒนาที่ยั่งยืนและการมีส่วนร่วมของประชาชน
ค่ายวิศวพัฒน์เริ่มต้นจากความร่วมมือระหว่างจุฬาฯ และ มูลนิธิรากแก้ว เพื่อสร้างกระบวนการเรียนรู้นอกห้องเรียน ผ่านการลงมือปฏิบัติจริงในพื้นที่ โดยเลือกดำเนินงานใน บ้านเชตวัน ตำบลสันทะ อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน ซึ่งประสบปัญหาขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรง โครงการเริ่มจากการสร้างฝายต้นน้ำในปี พ.ศ. 2561 เพื่อแก้ปัญหาภัยแล้ง จนสามารถพัฒนาเป็นระบบนำน้ำและประปาชุมชนครบวงจร มีการต่อยอดสร้างฝายเพิ่มเติม ระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ และศูนย์เรียนรู้บ้านดินในปี พ.ศ. 2566–2568
ตลอดระยะเวลา กว่าสิบปี (พ.ศ. 2559–2568) โครงการได้พัฒนาพื้นที่เขาหัวโล้นให้กลับมามีความอุดมสมบูรณ์ เปลี่ยนระบบเกษตรเชิงเดี่ยวกว่า 100 ไร่ให้กลายเป็นพืชผสมผสาน สร้างรายได้เพิ่มให้กับชาวบ้าน พร้อมทั้งปลูกฝังจิตสำนึกเรื่องสิ่งแวดล้อมและการพึ่งพาตนเอง โครงการยังเปิดโอกาสให้นิสิต ศิษย์เก่า และประชาชนในพื้นที่ร่วมกันคิด วางแผน และปฏิบัติ จนกลายเป็นตัวอย่างของการจัดกิจกรรมด้านการศึกษาที่ขยายสู่สังคมในวงกว้าง
ความสำเร็จนี้ได้รับการยอมรับในระดับประเทศ โดยได้รับรางวัลชนะเลิศจาก “2023 Rakkaew Foundation National Exposition : University Sustainability Showcase” ตอกย้ำบทบาทของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในฐานะสถาบันการศึกษาที่สร้างการเรียนรู้เพื่อสังคมอย่างแท้จริง ผ่านการบูรณาการความรู้ ความร่วมมือ และจิตอาสาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
[ https://www.intaniamagazine.com/vidvapath-camp/ ]
ที่มา
- คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- สำนักวิชาทรัพยากรการเกษตร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- สำนักบริหารกิจการนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- ศูนย์เครือข่ายการเรียนรู้เพื่อภูมิภาค จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- ศูนย์การศึกษาทั่วไป จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- สถาบันวิจัยทรัพยากรน้ำ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

SDG ที่เกี่ยวข้อง
อื่นๆ
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกับความร่วมมือเพื่อการพัฒนาเมืองและที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมอย่างยั่งยืน
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยให้ความสำคัญกับการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืนและการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยทำงานร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่น ภาครัฐ และภาคเอกชนในการวางแผนและพัฒนาเมืองอย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างชุมชนเมืองที่น่าอยู่และเท่าเทียม มหาวิทยาลัยใช้ศักยภาพทางวิชาการและงานวิจัยเพื่อสนับสนุนการกำหนดนโยบาย กลไกการบริหารจัดการพื้นที่ และนวัตกรรมที่ส่งเสริมการพัฒนาเมืองในมิติสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล
จุฬาฯ ชงแก้ปัญหาขยะทะเลจากบนบก เสนอรัฐคุมใช้พลาสติกแบบครั้งเดียวทิ้งในบริการส่งอาหาร (Food Delivery)
ขยะพลาสติกจากธุรกิจส่งอาหารกำลังเป็นปัญหาใหญ่ในสังคมเมืองโดยเฉพาะหลังจากที่ภาครัฐออกมาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ห้ามให้ประชาชนออกมารับประทานอาหารนอกบ้าน ส่งผลให้ธุรกิจส่งอาหารเติบโตอย่างก้าวกระโดด ในขณะเดียวกลับสร้างปัญหาใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเลตามมาอย่างที่ไม่มีใครคาดคิดนั่นคือปริมาณบรรจุภัณฑ์พลาสติกและพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งมีจำนวนมหาศาล และกลายเป็นขยะทันทีหลังบริโภค
กิจกรรมเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตสาธารณะตลอดปีที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ 2565-2566
ด้วยความมุ่งมั่นให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิตสาธารณะที่ทุกคนสามารถเข้าถึงกิจกรรมเหล่านี้ได้ โดยไม่คำนึงถึงเชื้อชาติ ศาสนา ความทุพพลภาพ หรือเพศ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงได้ดำเนินการจัดโครงการและกิจกรรมสาธารณะด้านวิชาการ การถ่ายทอดความรู้ และการฝึกอบรมสายอาชีพสำหรับประชาชนอย่างสม่ำเสมอตลอดทั้งปี หลากหลายรูปแบบ ทั้ง onsite และ Online ให้กับทั้งนักศึกษา บุคลากร และบุคคลภายนอกทั่วไปที่สนใจเข้าร่วม โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
ศิลปะบำบัด ปลดปล่อยความวิตกกังวลจากเหตุการณ์วิกฤต
หลายคนที่เคยประสบกับเหตุการณ์วิกฤตไม่ได้ตระหนักถึงความจำเป็นในการเข้าบำบัดรักษาสุขภาพจิต เนื่องจากค่านิยมในสังคมเป็นสาเหตุที่สำคัญทำให้ผู้คนที่ได้รับความบาดเจ็บทางอารมณ์จากเหตุการณ์รุนแรงไม่เข้ารับการบำบัด ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศมีความเชื่อว่าการเข้ารับการบำบัดหมายถึงการเป็นคนบ้าหรือมีสภาพจิตใจที่อ่อนแอ การปรับทัศนคติในเรื่องนี้กับผู้คนในสังคมมีความจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อให้การบำบัดสุขภาพจิตสามารถเข้าถึงได้ง่ายและเป็นที่ยอมรับ














