จุฬาฯ กับบทบาทการส่งเสริมความมั่นคงทางน้ำ ผ่านความร่วมมือกับหน่วยงานทั้งในระดับท้องถิ่น ภูมิภาค ประเทศ และระดับโลก ปี 2567-2568
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความมั่นคงทางน้ำ ผ่านความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐทั้งในระดับท้องถิ่น ภูมิภาค ประเทศ และระดับโลก โดยมุ่งเน้นการวิจัย การพัฒนาเทคโนโลยี และการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน การดำเนินงานเหล่านี้ช่วยสร้างแนวทางแก้ไขปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง และคุณภาพน้ำ พร้อมสนับสนุนการวางนโยบายและมาตรการเชิงปฏิบัติที่เหมาะสมกับบริบทของแต่ละพื้นที่
ตัวอย่างโครงการและการดำเนินงานในช่วงปี 2567–2568
จุฬาฯ ลงพื้นที่ติดตามงานพัฒนาระบบภูมิสารสนเทศเพื่อการจัดการน้ำระดับตำบล ในอบต.นาซาว ต.บ่อสวก อ.เมือง จ.น่าน
เมื่อวันที่ 9-10 มกราคม 2567 รองศาสตราจารย์ ดร.สุจริต คูณธนกุลวงศ์ อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมแหล่งน้ำ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะประธานแผนงานวิจัยเข็มมุ่งด้านการจัดการน้ำ (สนับสนุนโดย วช และบริหารแผนงานโดย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) ได้เข้าติดตามงานพัฒนาระบบภูมิสารสนเทศเพื่อการจัดการน้ำระดับตำบล ในอบต.นาซาว ต.บ่อสวก อ.เมือง จ.น่าน ที่จัดทำผังน้ำในตำบล (มีระบุอาคาร จัดทำสมดุลน้ำ วิเคราะห์การขาดแคลนน้ำและน้ำท่วม เป็นข้อมูลประกอบการจัดทำแผนงาน โครงการ และแผนปฏิบัติการ) จัดทำฝายแกนดินซิเมนต์ (อาคารชั่วคราว) เพื่อกักน้ำในทางน้ำ จัดทำระบบสูบน้ำด้วยแสงอาทิตย์ และทำการเกษตรทางเลือกในช่วงฤดูแล้ง (ปลูกขายเมล็ดพันธุ์แตงโม) เป็นรายได้เสริม หลังนาปี (ดำเนินการโดย สำนักวิชาทรัพยากรการเกษตร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) พร้อมนำเสนอผลวิจัยเรื่องการจัดทำแผนหลักการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณการของจังหวัด (เป้าหมาย สถานะ ความเสี่ยง แผนงาน ผลที่ได้) และข้อมูลจากระบบภูมิสารสนเทศน้ำที่รวบรวมจากอบตที่เข้าร่วมโครงการ กับคณะอนุกรรมการทรัพยากรน้ำจังหวัดน่าน เพื่อเตรียมยกร่างแผนหลักน้ำของจังหวัด (ปี 2566 ถึง 2567) ร่วมกับทีมวิจัย (จุฬา-ขอนแก่น) ต่อไป
[ https://www.eng.chula.ac.th/th/45217 ]
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจับมือพันธมิตรระดับโลก เสริมความมั่นคงทางน้ำด้วยนวัตกรรม AI และการจัดการขยะอย่างยั่งยืน
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยคณะวิทยาศาสตร์และสถาบันวิจัยทรัพยากรน้ำ ได้ร่วมมือกับองค์กรไม่แสวงหากำไรระดับโลกจากประเทศเนเธอร์แลนด์ The Ocean Cleanup และ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) เพื่อแก้ไขปัญหาขยะพลาสติกในแหล่งน้ำของประเทศไทย ความร่วมมือนี้ถือเป็นการบูรณาการความร่วมมือจากทุกระดับ ตั้งแต่ท้องถิ่น ชาติ ไปจนถึงระดับโลก เพื่อขับเคลื่อนความมั่นคงทางน้ำและการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
โครงการดังกล่าวดำเนินการระหว่างปี พ.ศ. 2564–2567 ในพื้นที่ แม่น้ำเจ้าพระยา กรุงเทพมหานคร โดยใช้เทคโนโลยี กล้องอัจฉริยะและระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ควบคู่กับเรือเก็บขยะพลังงานแสงอาทิตย์ (Interceptor) เพื่อตรวจวัดและวิเคราะห์ปริมาณ ชนิด และเส้นทางการเคลื่อนตัวของขยะที่ไหลผ่านแม่น้ำ จุดติดตั้งกล้องหลักอยู่ที่ สะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า สะพานอรุณอมรินทร์ และสะพานภูมิพล ซึ่งจะบันทึกภาพทุก 15 นาที ทำให้สามารถติดตามปริมาณขยะได้ตลอด 24 ชั่วโมงอย่างมีประสิทธิภาพ
ภายใต้การนำของ ศาสตราจารย์ ดร. สุชนา ชวานิช นักวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ทีมวิจัยได้ศึกษาข้อมูลเพื่อนำไปใช้กำหนดนโยบายการจัดการขยะเชิงระบบในอนาคต โดยผลการศึกษาพบว่า “เรือเก็บขยะพลังงานแสงอาทิตย์สามารถเก็บขยะได้ถึง 6–7 ตันในเวลาเพียง 2–3 วัน” ซึ่งช่วยลดปริมาณขยะที่จะไหลลงทะเลได้อย่างมีนัยสำคัญ
ความร่วมมือนี้สะท้อนให้เห็นถึงพลังของ องค์ความรู้ทางวิชาการ จากจุฬาฯ ที่ผนึกกำลังกับ หน่วยงานภาครัฐและองค์กรนานาชาติ เพื่อปกป้องระบบนิเวศทางทะเล ลดมลพิษ และสนับสนุนความมั่นคงทางน้ำของประเทศในระยะยาว ข้อมูลจากงานวิจัยจะถูกนำไปใช้เป็นฐานข้อมูลสำคัญในการออกแบบ ยุทธศาสตร์การจัดการขยะอย่างมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ ตั้งแต่การระบุพื้นที่ที่มีการทิ้งขยะสูง ไปจนถึงการวางมาตรการเชิงป้องกันและการส่งเสริมการจัดการขยะโดยชุมชน
ด้วยการเชื่อมโยงเครือข่ายความร่วมมือจากระดับท้องถิ่นสู่ระดับโลก จุฬาฯ ตอกย้ำบทบาทผู้นำด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน และแสดงให้เห็นว่าการปกป้องทรัพยากรน้ำมิใช่เพียงภารกิจของชาติใดชาติหนึ่ง แต่เป็น ความรับผิดชอบร่วมกันของโลกทั้งใบ
[ https://www.chula.ac.th/en/highlight/246496/ ]
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผนึกกำลังภาครัฐ พัฒนาระบบบริหารจัดการคุณภาพน้ำยั่งยืน
เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2568 ณ กรมชลประทาน สามเสน กรุงเทพฯ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับ 3 หน่วยงานภาครัฐ ได้แก่ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กรมชลประทาน และกรมควบคุมมลพิษ ภายใต้โครงการ “การยกระดับขีดความสามารถด้านการจัดการคุณภาพน้ำและการปนเปื้อนในแหล่งน้ำของประเทศไทย” โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านการจัดการคุณภาพน้ำและสารมลพิษอุบัติใหม่ (Emerging Contaminants) เช่น สาร PFAS และโลหะหนัก ที่กำลังเป็นปัญหาระดับโลกและส่งผลต่อความมั่นคงทางน้ำของประเทศ
ในการลงนามครั้งนี้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยรองศาสตราจารย์ ดร.อักษรา พฤทธิวิทยา อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมแหล่งน้ำ คณะวิศวกรรมศาสตร์ ได้ร่วมเป็นภาคีสำคัญในการบูรณาการองค์ความรู้ทางวิชาการและการวิจัยกับภาครัฐ เพื่อร่วมพัฒนามาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำอย่างยั่งยืน ตลอดจนส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนในระดับพื้นที่ การร่วมมือครั้งนี้ไม่เพียงสะท้อนบทบาทของจุฬาฯ ในฐานะสถาบันการศึกษาชั้นนำด้านวิศวกรรมแหล่งน้ำและสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังตอกย้ำการทำงานเชิงบูรณาการกับหน่วยงานระดับประเทศและนานาชาติ เพื่อรับมือกับปัญหาน้ำและสิ่งแวดล้อมที่ซับซ้อนมากขึ้น
นอกจากนี้ ความร่วมมือดังกล่าวยังครอบคลุมการพัฒนาเทคโนโลยีตรวจวัดและบำบัดสารปนเปื้อนในน้ำ การถ่ายทอดองค์ความรู้ การพัฒนาศักยภาพบุคลากร และการสร้างเครือข่ายวิจัยทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเสริมสร้างระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่มีประสิทธิภาพและมั่นคงในระยะยาว ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้แสดงบทบาทในการร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและพันธมิตรทางวิชาการระดับโลก เพื่อขับเคลื่อนประเทศสู่ความมั่นคงทางน้ำและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
[ https://www.nstda.or.th/home/news_post/mou-water-quality-20250806/ ]
ที่มา
- คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- สำนักวิชาทรัพยากรการเกษตร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- สถาบันวิจัยทรัพยากรน้ำ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
SDG ที่เกี่ยวข้อง
อื่นๆ
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกับความร่วมมือเพื่อการพัฒนาเมืองและที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมอย่างยั่งยืน
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยให้ความสำคัญกับการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืนและการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยทำงานร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่น ภาครัฐ และภาคเอกชนในการวางแผนและพัฒนาเมืองอย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างชุมชนเมืองที่น่าอยู่และเท่าเทียม มหาวิทยาลัยใช้ศักยภาพทางวิชาการและงานวิจัยเพื่อสนับสนุนการกำหนดนโยบาย กลไกการบริหารจัดการพื้นที่ และนวัตกรรมที่ส่งเสริมการพัฒนาเมืองในมิติสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล
เกม “Urban Green มหานครสีเขียว” เพื่อการเรียนรู้ความสำคัญของพื้นที่สีเขียวในเมือง
นับตั้งแต่ช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรม ประชากรมนุษย์ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมากกว่าครึ่งหนึ่งของประชากรในปัจจุบันอาศัยอยู่ในเมือง ซึ่งคาดว่าแนวโน้มนี้จะดำเนินต่อไป เป็นเหตุให้เกิดการขยายตัวของชุมชนเมือง การขยายตัวของเมืองส่งผลกระทบต่อการใช้ที่ดินและรูปแบบของความหลากหลายทางชีวภาพ ทำให้พื้นที่สีเขียวที่มีตามธรรมชาติที่ลดลง เป็นไปได้ที่จะกล่าวว่าการขยายตัวของเมืองเป็นสาเหตุหลักของการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต
พิพิธภัณฑ์ของจุฬาฯ: แหล่งเรียนรู้โลกกว้างที่ทุกคนเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต
ภายในพื้นที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นอกจากจะเป็นที่ตั้งของคณะและสถาบันสำคัญที่ทั้งสร้างและถ่ายทอดองค์ความรู้ให้นิสิตผลิตบัณฑิตให้พร้อมออกไปรับใช้สังคมแล้ว จุฬาฯ ยังได้เปิดพื้นที่ให้เป็นแหล่งเรียนรู้เชิงวิชาการและการอนุรักษ์ให้นิสิต คณาจารย์ และบุคลากร รวมทั้งบุคคลภายนอกที่สนใจได้เข้ามาเรียนรู้ตลอดชีวิต
โครงการออกกำลังกายอย่างปลอดภัยด้วยเทรนเนอร์ส่วนบุคคลและวิทยาศาสตร์การกีฬา อาสาปันสุข (สุขภาพกาย และสุขภาพใจ)
คนไทยมีพฤติกรรมเสี่ยงโรคไม่ติดต่อและการบาดเจ็บเพิ่มสูงขึ้น โดยสำนักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขได้สำรวจและเล็งเห็นแนวโน้มมาตั้งแต่ปี 2558 พบความชุกของคนที่มีภาวะน้ำหนักเกิน ถึงร้อยละ 30.5 ภาวะอ้วน ร้อยละ 7.5 ภาวะการสูบบุหรี่ ร้อยละ 21.3 และการดื่มแอลกอฮอล์ ร้อยละ 36.2 ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มวัยแรงงานและกลุ่มผู้สูงอายุที่ขาดการออกกำลังกายและการบริโภคอาหารไม่ถูกหลักโภชนาการ









