กรณีศึกษา

บทบาทเชิงรุกของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในการกำหนดนโยบายการพัฒนา เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนระดับชาติและระดับภูมิภาค

ในยุคที่โลกกำลังเผชิญวิกฤตด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ การมีส่วนร่วมของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในกระบวนการพัฒนาและกำหนดนโยบาย (policy development) ด้านความยั่งยืน (SDG) ของหน่วยงานภาครัฐ (national government) หรือ องค์กรนอกภาครัฐระดับภูมิภาค (regional non-government organisations: NGOs) ไม่ใช่เพียงบทบาททางวิชาการหรือวิจัย แต่ยังรวมถึงบทบาทเชิงยุทธศาสตร์ในฐานะผู้ร่วมให้ข้อคิดเห็นชี้ปัญหาและวิเคราะห์ความท้าทาย (identifying problems and analyzing challenges) การร่วมพัฒนายุทธศาสตร์และนโยบาย (co-developing strategies and policies) การจำลองสถานการณ์อนาคต (simulating future scenarios) การติดตามและประเมินผลการดำเนินงาน (monitoring and evaluating implementation) ไปจนถึงการสนับสนุนการบริหารเชิงปรับตัว (supporting adaptive management) ซึ่งจุฬาฯ ได้แสดงบทบาทเหล่านี้ผ่านโครงการและกิจกรรมความร่วมมือต่าง ๆ ในช่วงปี 2567-2568 อย่างหลากหลาย ยกตัวอย่างเช่น

Chula Zero Waste: โมเดลต้นแบบเศรษฐกิจหมุนเวียน ที่องค์กรระหว่างประเทศใช้ขับเคลื่อนนโยบาย

เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2567 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยให้การต้อนรับคณะผู้แทนจาก องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) ที่เข้าศึกษาดูงานระบบการจัดการขยะครบวงจรภายใต้โครงการ “Chula Zero Waste” โดยจุฬาฯ มีการนำแนวคิด Circular Economy มาปรับใช้ในเชิงนโยบายและดำเนินการจริงภายในมหาวิทยาลัย เช่น ลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว (Single-use Plastic Ban) การจัดตั้ง “จุดเติมน้ำ” และ “จุดคัดแยกขยะรีไซเคิล” ทั่วมหาวิทยาลัย การพัฒนาระบบเก็บข้อมูลและรายงานขยะแบบเรียลไทม์ (Waste Data Monitoring System)

GIZ ยกให้ Chula Zero Waste เป็น best practice model ของการจัดการทรัพยากรในสถาบันการศึกษา ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการกำหนดนโยบายระดับประเทศเกี่ยวกับ เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy Policy)

การดำเนินการดังกล่าวของแสดงให้เห็นบทบาทของจุฬาฯ ในการมีส่วนร่วมในกระบวนการพัฒนาและให้ข้อเสนอเชิงนโยบาย (policy input & evidence-based model) ผ่านการสร้างระบบต้นแบบและรายงานผลเชิงข้อมูล สนับสนุนการออกแบบนโยบายของหน่วยงานรัฐและองค์กรระหว่างประเทศ

[ https://www.thai-german-cooperation.info/th/giz-thailand-visits-chula-zero-waste-a-model-of-best-practices-in-the-circular-economy/ ]

งานเสวนา “แก้กับดักนโยบายพลังงานสะอาด สร้างโอกาสประเทศ”

เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2567 ดร.สิริภา จุลกาญจน์ สถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ERI) นำเสนอผลการศึกษา “ปลดล็อกโซลาร์บนหลังคา พาไทยถึงเป้าพลังงานสะอาดอย่างยั่งยืน” ในเวที “แก้กับดักนโยบายพลังงานสะอาด สร้างโอกาสประเทศ” จัดโดย “โครงการพลังงานสะอาดเข้าถึงได้และมั่นคง สำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Clean, Affordable, and Secure Energy for Southeast Asia: CASE) ซึ่งเป็นความร่วมมือจากองค์กรและภาคีเครือข่ายทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับภูมิภาค ระดับชาติ และระดับนานาชาติ ประกอบด้วย องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) ร่วมกับสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ERI) ไทยพีบีเอสพอดคาสต์ ศูนย์สื่อสารวาระทางสังคมและนโยบายสาธารณะ  (The Active) และสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) จัดงาน ที่ องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย  

(ภาพ: Thai PBS)

โดยในรายละเอียดเป็นการนำเสนอข้อมูลจากการศึกษาวิจัย สรุปผลการวิเคราะห์ถึงปัจจัยสำคัญคือนโยบายของรัฐที่ต้องมีความชัดเจนต่อการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนเพื่อดึงจุดเด่นของระบบผลิตไฟฟ้าแบบกระจายมาให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งมีมาตรการที่ช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนติดตั้งโซลาร์  จึงมีข้อเสนอแนะ 3 ด้านที่ภาครัฐควรเร่งดำเนินการดังนี้ 

  1. มีเป้าหมายที่ชัดเจนและรูปแบบโครงการที่เอื้อต่อการส่งเสริมเทคโนโลยีมาใช้ประโยชน์ และช่วยลดต้นทุนในการขยายโครงข่ายไฟฟ้า รวมทั้งการสนับสนุนรูปแบบธุรกิจใหม่ ๆ ที่มีการกำกับดูแลอย่างเหมาะสม 
  2. จัดตั้ง one-stop shop service เพื่อลดต้นทุนและทำให้ขั้นตอนการขอใบอนุญาตรวดเร็วขึ้น โดยประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อลดความซ้ำซ้อนของขั้นตอนการขอใบอนุญาต 
  3. การเตรียมความพร้อมของระบบโครงข่ายไฟฟ้าเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงบทบาทของผู้ใช้ไฟฟ้าที่กลายเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าด้วย

ซึ่งจุฬาฯ มุ่งหวังให้ข้อมูลดังกล่าว เป็นประโยชน์ในการนำไปใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณากำหนดร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP 2024) ของทางภาครัฐที่ยังไม่มีการระบุถึงทิศทางและนโยบายสนับสนุนการติดตั้งโซลาร์บนหลังคา รวมถึงการขายไฟฟ้าส่วนเกินที่ได้จากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาให้กับการไฟฟ้าที่เรียกว่า Independent power supply (IPS) 

การดำเนินงานนี้จึงเป็นการแสดงบทบาทของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในการให้ข้อมูล (Input) และมีส่วนร่วมโดยตรงต่อการกำหนดนโยบายพลังงานสะอาด และสนับสนุนเป้าหมาย SDG ผ่านกลไกเชิงนโยบายและข้อเสนอเชิงเทคนิค [ https://greennews.agency/?p=38720 ]

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจับมือ IGES ญี่ปุ่น พัฒนานโยบายสิ่งแวดล้อมอาเซียนอย่างครอบคลุม

เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2568 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดย สถาบันเอเชียศึกษา (Institute of Asian Studies) ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับ Institute for Global Environmental Strategies (IGES) ประเทศญี่ปุ่น เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนานโยบายสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาเมืองยั่งยืน (Sustainable Urban Development Policy) ในภูมิภาคอาเซียน

ความร่วมมือนี้ครอบคลุม การวิจัยและพัฒนานโยบายด้าน Climate Resilience และ Circular Economy การจัดประชุมเชิงนโยบายระดับภูมิภาค (Regional Policy Dialogue) การสร้างฐานข้อมูลสิ่งแวดล้อมเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจของรัฐบาลในอาเซียน

โครงการนี้แสดงถึงการมีส่วนร่วมโดยตรงในการพัฒนานโยบายด้านความยั่งยืนระดับภูมิภาค (direct involvement in regional SDG policy development) ครอบคลุมทั้งการชี้ให้เห็นปัญหาและวิเคราะห์ความท้าทาย (identifying problems and analyzing challenges) การร่วมพัฒนายุทธศาสตร์และนโยบาย (co-developing strategies and policies) และการสนับสนุนการบริหารเชิงปรับตัว (supporting adaptive management) [ https://www.iges.or.jp/en/news/20250821 ]

จุฬาฯ ร่วมมือ EGAT วิจัยพลังงานสะอาดเพื่อการกำหนดนโยบายระดับชาติ

เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2568 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดย ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Chula Unisearch) และ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) ได้ร่วมลงนามในสัญญามอบทุนวิจัย “การนำหลักการ ESG มาใช้สนับสนุนการพัฒนาโครงการอย่างยั่งยืนของ กฟผ. ในการผลิตไฮโดรเจนและอนุพันธ์ของไฮโดรเจนจากพลังงานหมุนเวียน” ผลักดันการพัฒนาที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ตามมาตรฐานสากล พร้อมต่อยอดสู่การใช้ประโยชน์จริงในการขับเคลื่อนพลังงานสะอาดและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ

โดยงานวิจัยในครั้งนี้จะช่วยเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีการผลิตไฮโดรเจนสะอาดจากพลังงานหมุนเวียนผ่านการนำหลัก Environmental, Social, and Governance หรือ ESG มาใช้ประเมินโครงการผลิตไฮโดรเจนสะอาดให้มีประสิทธิภาพรอบด้าน และยั่งยืน สอดคล้องกับมาตรฐานในระดับสากล ทั้งในด้าน ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การสนับสนุนคุณภาพชีวิตของชุมชน และการบริหารจัดการที่โปร่งใส โดยความร่วมมือในครั้งนี้จะทำให้ประเทศไทย และ กฟผ. สามารถบรรลุเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมั่นคง และเป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยรวมในระยะยาว และผลจากการศึกษาวิจัยครั้งนี้จะเป็นข้อมูลและผลงานเชิงประจักษ์ที่ใช้สนับสนุนเชิงวิชาการแก่ภาครัฐ สำหรับการพัฒนานโยบายด้านพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีด้านการส่งเสริมประสิทธิภาพทางพลังงานต่อไปอีกด้วย

ความร่วมมือนี้มีเป้าหมายเพื่อสนับสนุน ยุทธศาสตร์ Carbon Neutrality 2050 ของประเทศไทย โดยจุฬาฯ ทำหน้าที่เป็นหน่วยวิจัยหลักในการพัฒนาเทคโนโลยีต้นแบบและให้ข้อมูลเชิงเทคนิคประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบาย [ https://www.egat.co.th/home/20250917-pre112/ ]

ที่มา

  • สำนักบริหารระบบกายภาพ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • สถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

อื่นๆ

เข้าใจชุมชนคนรักช้าง สู่สถาปัตยกรรมเพื่อช้าง Elephant World จังหวัดสุรินทร์

ความตั้งใจให้พื้นที่เป็นศูนย์อนุรักษ์ช้างที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นแหล่งศึกษาข้อมูลทางวิชาการ ผลักดันให้โลกของช้างเป็นแหล่งท่องเที่ยวเกี่ยวกับช้างแบบครบวงจร

จุฬาฯ ปลุกการท่องเที่ยวเมืองน่านสีเขียว

“น่าน” มีวิสัยทัศน์ประจำจังหวัด คือ “เมืองแห่งความสุข เศรษฐกิจสร้างสรรค์ ธรรมชาติสมบูรณ์ เกษตรกรรมอุดมสมบูรณ์ ชุมชนแน่นแฟ้น และการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน” น่านได้กำหนดยุทธศาสตร์เพื่อให้เกิดการพัฒนาการและเติบโตด้านการท่องเที่ยวอย่างสมดุลและยั่งยืน โดยใช้ 5 กลยุทธ์

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเปิดโอกาสให้นิสิตจัดตั้งชมรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

เพื่อเป็นศูนย์กลางของกิจกรรมและโครงการที่เกี่ยวข้องกับการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

โครงการออกกำลังกายอย่างปลอดภัยด้วยเทรนเนอร์ส่วนบุคคลและวิทยาศาสตร์การกีฬา อาสาปันสุข (สุขภาพกาย และสุขภาพใจ)

คนไทยมีพฤติกรรมเสี่ยงโรคไม่ติดต่อและการบาดเจ็บเพิ่มสูงขึ้น โดยสำนักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขได้สำรวจและเล็งเห็นแนวโน้มมาตั้งแต่ปี 2558 พบความชุกของคนที่มีภาวะน้ำหนักเกิน ถึงร้อยละ 30.5 ภาวะอ้วน ร้อยละ 7.5 ภาวะการสูบบุหรี่ ร้อยละ 21.3 และการดื่มแอลกอฮอล์ ร้อยละ 36.2 ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มวัยแรงงานและกลุ่มผู้สูงอายุที่ขาดการออกกำลังกายและการบริโภคอาหารไม่ถูกหลักโภชนาการ

ไอคอน PDPA

เราใช้คุกกี้เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของคุณ (ตั้งค่า)

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

Accept All
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • Necessary cookies
    เปิดใช้งานตลอด

    Necessary cookies are essential for the functioning of the website, allowing you to use and browse the site normally. You cannot disable these cookies in our website's system.

  • คุกกี้วิเคราะห์เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การใช้งาน

    คุกกี้เหล่านี้ใช้เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งานเว็บไซต์ เช่น จำนวนผู้เข้าชม, หน้าเว็บที่ได้รับความนิยม และพฤติกรรมการท่องเว็บ ซึ่งช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์ปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ได้

  • คุกกี้การทำงานเพื่อจดจำการตั้งค่าผู้ใช้

    คุกกี้เหล่านี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานเว็บไซต์ โดยจดจำการตั้งค่าที่ผู้ใช้เคยกำหนดไว้ เช่น ชื่อผู้ใช้, ภาษา, ภูมิภาค หรือการปรับแต่งเว็บไซต์ตามความต้องการ

Save