กรณีศึกษา

จุฬาฯ กับนโยบายและการลงทุนเพื่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

Net Zero​ Greenhouse Gas​ Emissions หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ เป็นประเด็นที่ทั่วโลกให้ความสำคัญและมีการจัดการอย่างเร่งด่วน ตามมติการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ครั้งที่ 26 หรือ COP26 เมื่อปี 2021 (พ.ศ. 2564) ที่สนับสนุนเป้าหมายในการควบคุมอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส เพื่อป้องกันหายนะที่จะเกิดจากสภาวะอากาศสุดโต่ง (Extreme weather events)

ในฐานะพลเมืองของประเทศและโลก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตระหนักถึงความรับผิดชอบที่มีต่อส่วนรวมและต้องการลงมือแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง​ และเพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals)​ อธิการบดี จุฬาฯ จึงได้ประกาศเจตนารมณ์ต่อสาธารณะในเรื่องการลดก๊าซเรือนกระจกภายในมหาวิทยาลัย ตั้งแต่เดือนกันยายน 2565 โดยมีเป้าหมายหลัก คือ “การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Greenhouse Gas Emissions) ภายในปี พ.ศ.2593 หรือ ค.ศ. 2050” และจุฬาฯ​ ยังได้จัดทำแผนและออกนโยบายมาตรการ รวมทั้งการลงทุนต่าง ๆ​ ในการลดใช้พลังงาน ทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อลดก๊าซ​เรือนกระจกอย่างจริงจังและเข้มข้นมากขึ้น เพื่อมุ่งหวังสร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้น [ https://www.chula.ac.th/en/highlight/116406/ ]

Chula’s 2050 Net-Zero Transition Strategies

จุฬาฯ ได้ออกแบบ 5 กลยุทธ์ Chula’ 2050 Net-Zero Transition เพื่อสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าว ประกอบด้วย

1. Energy Transition

จุฬาฯ ได้ดำเนินการปรับเปลี่ยนระบบการใช้พลังงานแบบเดิม เป็นระบบการใช้พลังงาน​ทดแทนที่ไม่ก่อให้เกิดคาร์บอน​ (Zero-carbon Energy System) ได้แก่ พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar PV development)

“จุฬาฯ เป็นมหาวิทยาลัยในเมือง จึงมีข้อจำกัดในด้านพื้นที่ การใช้พลังงานโซลาร์เซลล์ในฐานะพลังงานทดแทนจึงเหมาะกับบริบทของมหาวิทยาลัยที่สุดในปัจจุบัน”

จุฬาฯ​ ได้ลงนามข้อตกลงกับการไฟฟ้านครหลวง (MEA) เพื่อดำเนินโครงการนำร่องติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาอาคารต่าง ๆ​ (Solar Rooftop) ซึ่งมีแผนจะดำเนินการติดตั้งทั้งหมด 62 อาคารทั่วทั้งมหาวิทยาลัยที่มีศักยภาพในการติดตั้งโซลาร์​เซลล์​​ ซึ่งในปี พ.ศ. 2568 ได้ติดตั้งและใช้งาน​แล้ว​ จำนวน​ 20​ อาคาร

“หากติดตั้งและใช้งานครบทุกอาคารแล้วจะสามารถทดแทนการใช้ไฟฟ้า​ในจุฬาฯ​ ได้ถึง​ 25% ของการใช้ไฟฟ้าทั้งมหาวิทยาลัย​” 

2. Improving Energy System Resilience

จุฬาฯ ​ดำเนินการตรวจสอบอายุการใช้งานและประเมินประสิทธิภาพ​อุปกรณ์​ไฟฟ้า เพื่อเปลี่ยนเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าประหยัดพลังงาน​ในอาคารส่วนกลาง เช่น หลอดไฟ และเครื่องปรับอากาศ ทั้งยังมีการปรับปรุงระบบปรับอากาศภายในอาคาร โดยติดตั้งมอนิเตอร์เพื่อตรวจสอบความร้อนภายในระบบ และการใช้ระบบระบายอากาศ ระบบระบายความร้อน ตลอดจนมีการติดตั้งระบบบริหารจัดการพลังงานในอาคารอัจฉริยะ CU BEMs (Building Energy Management) ​ในอาคารทั่วทั้งมหาวิทยาลัย เพื่อใช้มอนิเตอร์ ควบคุมและสั่งการการใช้พลังงานในแต่ละอาคารให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด​ ลดการใช้พลังงานโดยไม่จำเป็น โดยสามารถตรวจสอบ​และจำกัดการใช้พลังงานในแต่ละอาคารผ่านเว็บแอปพลิเคชัน​และ​ dashboard ที่รายงานข้อมูลการใช้พลังงานสูงสุด​ (Peak Load)​ และจำนวนการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ​ซึ่งระบบนี้ออกแบบโดยหน่วยปฏิบัติการวิจัยระบบโครงข่ายไฟฟ้าสมาร์ทกริด (Smart Grid Reseach Unit- SGRU) ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ร่วมกับมหาวิทยาลัยโตเกียว และกลุ่มอุตสาหกรรมทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (สนพ.) กระทรวงพลังงาน

3. Creating Green Growth

จุฬาฯ​ ได้สนับสนุนงานวิจัย​และความร่วมมือในระดับประเทศและนานาชาติ รวมไปถึงการลงทุนสีเขียว เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีไร้คาร์บอน โดยศูนย์ Bio-Circular-Green economy Technology & Engineering Center คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ได้ร่วมมือกับภาครัฐ ภาคเอกชน ธุรกิจอุตสาหกรรม และองค์กรสาธารณะ จัดตั้งความร่วมมือในนาม Thailand CCUS Consortium เพื่อวางแผน วิจัย พัฒนาการใช้เทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture, Utilization and Storage: CCUS) ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญในการนำเอา CO2 ที่เดิมถูกมองว่าเป็นมลพิษ มาแปรรูปแล้วนำไปใช้ประโยชน์ด้านต่าง ๆ สร้างมูลค่าทางด้านการพาณิชย์และยังช่วยขจัดมลภาวะให้กับสภาพแวดล้อม

       อีกทั้ง นักวิจัย​ จุฬาฯ​ ได้แปลงคาร์บอนไดออกไซด์เป็นเมทานอลโดยใช้พลังงานน้อยแต่ได้ผลมาก ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการวิจัยการแปลงก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงขึ้น (Carbon Dioxide (CO2) Conversion to Higher-Valued Products) ภายใต้การสนับสนุนทุนวิจัย “Research Cess Fund” (RCF) จาก Malaysia-Thai Joint Authority (MTJA) ในระดับนานาชาติ​          และที่ผ่านมา​ จุฬาฯ​ ให้ความสำคัญเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางพลังงาน (Energy Transition) และพลังงานสะอาดมากขึ้น​​ โดย คณะวิศวกรรมศาสตร์​ จุฬา​ฯ​ ได้ลงนามข้อตกลงร่วมกับบริษัท​ Hitachi Energy เพื่อส่งเสริมสนับสนุนการศึกษา การวิจัยพัฒนาและการเรียนรู้ทางเทคโนโลยี ในประเด็นที่เกี่ยวกับพลังงาน อาทิ ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ไมโครกริด (Microgrid) ระบบผลิตไฟฟ้า​และบริหารจัดการไฟฟ้าขนาดเล็กสำหรับชุมชน​ โดยใช้พลังงานทดแทนเป็นหลัก ระบบกักเก็บพลังงานแบบแบตเตอรี่ (BESS) การขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า (e-Mobility) ไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen) ซึ่งเป็นหนึ่งในพลังงานสะอาด และศึกษาอนาคตทางพลังงานที่ยั่งยืน (Sustainable Energy Future) มาตั้งแต่ในปี​ พ.ศ. 2565

4. Lifestyle Transition

จุฬาฯ​ ​ได้ดำเนินการจัดหารถโดยสาร​ระบบไฟฟ้า รวมถึงตัวเลือกในการเดินทางที่ปล่อย​คาร์บอนน้อย​ (Low Carbon Transportation) เช่น จักรยาน รถตุ๊กๆ ไฟฟ้า​ สกู๊ตเตอร์​ไฟฟ้า มาให้บริการกับนิสิตและบุคลากรภายในมหาวิทยาลัย ​[ http://www.sustainability.chula.ac.th/report/3118/ ] อีกทั้งยังมีการปรับปรุงทางเดินมีหลังคา หรือ Cover way เชื่อมต่ออาคารต่าง ๆ ภายในมหาวิทยาลัย เพื่ออำนวยความสะดวกให้บุคคลทั้งภายในและภายนอกที่เข้ามาติดต่องานภายในมหาวิทยาลัยสามารถเดินทางด้วยเท้าได้ทั่วทั้งพื้นที่ของมหาวิทยาลัยอีกด้วย [ http://www.green.chula.ac.th/index.php/transportation/cu-cover-way-sky-walk/ ]

5. Social Transition & Support System

เพื่อกระตุ้นให้ประชาคมจุฬาฯ​ อยากร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันการลดก๊าซเรือนกระจก​ภายในมหาวิทยาลัย จุฬาฯ มีแผนเดินหน้าจัดกิจกรรมและโครงการต่าง ๆ​ อาทิ เวทีเสวนา โครงการประกวดคลิปสั้นและการแลกเปลี่ยนข่าวสารระหว่างนิสิตและบุคลากรผ่านช่องทางสื่อออนไลน์อีกด้วย​ เพื่อให้ประชาคมจุฬาฯ​ ตระหนักถึงความสำคัญและผลกระทบที่ตามมาของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและสร้างจิตสำนึก​ เตรียมพร้อมเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน

ที่มา

  • สำนักบริหารระบบกายภาพ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • สำนักงานจัดการทรัพย์สิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

อื่นๆ

การปรับปรุงอาคารของจุฬาฯ และการพัฒนาเทคโนโลยีสนับสนุนต่าง ๆ เพื่อเป็นการช่วยลดและใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพในทุกมิติของการดำเนินงาน โดยส่วนหนึ่งสามารถเห็นได้จากการจัดทำแผนและโครงการอย่างต่อเนื่องเพื่อปรับปรุงอาคารที่มีอยู่เดิมให้มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น ภายใต้แนวทางการพัฒนาอาคารเขียว (Green Building) และการบริหารจัดการพลังงานอย่างยั่งยืน

บริษัท ซียูเอ็นเทอร์ไพรส์ จำกัด

สร้างนวัตกร ต่อยอดงานวิจัย และส่งเสริมนวัตกรรมให้เกิดประโยชน์เชิงพาณิชย์ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจแก่สังคม โดยดำเนินงานร่วมกับศูนย์กลางนวัตกรรมแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้คำแนะนำบ่มเพาะผู้ประกอบการ ระดมทุน รวมทั้งร่วมลงทุนในบริษัทสปินออฟ

การดำเนินการนโยบายด้านความยั่งยืนกับ Outsource ของจุฬาฯ

จากการดำเนินงานตามนโยบายด้านการจัดการขยะและขยะอันตราย และ มาตรการลดขยะพลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้ง มหาวิทยาลัยขยายการดำเนินการนโยบายด้านการบริหารจัดการขยะให้ครอบคลุมถึงร้านค้า ซึ่งเป็น Outsource ผู้ให้บริการอาหารโดยระบุในสัญญาร้านค้า ให้ปฏิบัติตามนโยบายและมาตรการต่าง ๆ ด้านการจัดการขยะ โดยต้องให้ความร่วมมือกับโครงการ Chula Zero Waste ที่มีเป้าหมายในการลดการก่อขยะ ส่งเสริมการแยกขยะนำกลับไปใช้ประโยชน์ และการปลูกฝังจิตสำนึกส่งเสริมการบริโภคอย่างยั่งยืนภายในมหาวิทยาลัยให้แก่นิสิต คณาจารย์ บุคลากรจุฬาฯ

“อาคารเขียว” กับ การพัฒนาอาคารใหม่อย่างยั่งยืนของจุฬาฯ

การพัฒนาพื้นที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มุ่งเน้นความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม คำนึงถึงบริบทการเปลี่ยนแปลงที่เป็นปัจจุบันที่มีความสำคัญในหลากหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริบทที่มีความเกี่ยวข้องกับความตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก (Climate change) ซึ่งมีผลมาจากกิจกรรมหรือการใช้ทรัพยากรที่เกิดขึ้นในแง่มุมต่างๆ โดยเฉพาะด้านการพัฒนาทางกายภาพภายในพื้นที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ไอคอน PDPA

เราใช้คุกกี้เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของคุณ (ตั้งค่า)

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

Accept All
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • Necessary cookies
    เปิดใช้งานตลอด

    Necessary cookies are essential for the functioning of the website, allowing you to use and browse the site normally. You cannot disable these cookies in our website's system.

  • คุกกี้วิเคราะห์เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การใช้งาน

    คุกกี้เหล่านี้ใช้เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งานเว็บไซต์ เช่น จำนวนผู้เข้าชม, หน้าเว็บที่ได้รับความนิยม และพฤติกรรมการท่องเว็บ ซึ่งช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์ปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ได้

  • คุกกี้การทำงานเพื่อจดจำการตั้งค่าผู้ใช้

    คุกกี้เหล่านี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานเว็บไซต์ โดยจดจำการตั้งค่าที่ผู้ใช้เคยกำหนดไว้ เช่น ชื่อผู้ใช้, ภาษา, ภูมิภาค หรือการปรับแต่งเว็บไซต์ตามความต้องการ

Save