จุฬาฯ กับนโยบายและการลงทุนเพื่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์
Photo by Andrei Lazarev on Unsplash
Net Zero Greenhouse Gas Emissions หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ เป็นประเด็นที่ทั่วโลกให้ความสำคัญและมีการจัดการอย่างเร่งด่วน ตามมติการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ครั้งที่ 26 หรือ COP26 เมื่อปี 2021 (พ.ศ. 2564) ที่สนับสนุนเป้าหมายในการควบคุมอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส เพื่อป้องกันหายนะที่จะเกิดจากสภาวะอากาศสุดโต่ง (Extreme weather events)
ในฐานะพลเมืองของประเทศและโลก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตระหนักถึงความรับผิดชอบที่มีต่อส่วนรวมและต้องการลงมือแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง และเพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals) อธิการบดี จุฬาฯ จึงได้ประกาศเจตนารมณ์ต่อสาธารณะในเรื่องการลดก๊าซเรือนกระจกภายในมหาวิทยาลัย ตั้งแต่เดือนกันยายน 2565 โดยมีเป้าหมายหลัก คือ “การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Greenhouse Gas Emissions) ภายในปี พ.ศ.2593 หรือ ค.ศ. 2050” และจุฬาฯ ยังได้จัดทำแผนและออกนโยบายมาตรการ รวมทั้งการลงทุนต่าง ๆ ในการลดใช้พลังงาน ทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อลดก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจังและเข้มข้นมากขึ้น เพื่อมุ่งหวังสร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้น [ https://www.chula.ac.th/en/highlight/116406/ ]
Chula’s 2050 Net-Zero Transition Strategies
จุฬาฯ ได้ออกแบบ 5 กลยุทธ์ Chula’ 2050 Net-Zero Transition เพื่อสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าว ประกอบด้วย
1. Energy Transition
จุฬาฯ ได้ดำเนินการปรับเปลี่ยนระบบการใช้พลังงานแบบเดิม เป็นระบบการใช้พลังงานทดแทนที่ไม่ก่อให้เกิดคาร์บอน (Zero-carbon Energy System) ได้แก่ พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar PV development)
“จุฬาฯ เป็นมหาวิทยาลัยในเมือง จึงมีข้อจำกัดในด้านพื้นที่ การใช้พลังงานโซลาร์เซลล์ในฐานะพลังงานทดแทนจึงเหมาะกับบริบทของมหาวิทยาลัยที่สุดในปัจจุบัน”
จุฬาฯ ได้ลงนามข้อตกลงกับการไฟฟ้านครหลวง (MEA) เพื่อดำเนินโครงการนำร่องติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาอาคารต่าง ๆ (Solar Rooftop) ซึ่งมีแผนจะดำเนินการติดตั้งทั้งหมด 62 อาคารทั่วทั้งมหาวิทยาลัยที่มีศักยภาพในการติดตั้งโซลาร์เซลล์ ซึ่งในปี พ.ศ. 2568 ได้ติดตั้งและใช้งานแล้ว จำนวน 20 อาคาร
“หากติดตั้งและใช้งานครบทุกอาคารแล้วจะสามารถทดแทนการใช้ไฟฟ้าในจุฬาฯ ได้ถึง 25% ของการใช้ไฟฟ้าทั้งมหาวิทยาลัย”
2. Improving Energy System Resilience
จุฬาฯ ดำเนินการตรวจสอบอายุการใช้งานและประเมินประสิทธิภาพอุปกรณ์ไฟฟ้า เพื่อเปลี่ยนเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าประหยัดพลังงานในอาคารส่วนกลาง เช่น หลอดไฟ และเครื่องปรับอากาศ ทั้งยังมีการปรับปรุงระบบปรับอากาศภายในอาคาร โดยติดตั้งมอนิเตอร์เพื่อตรวจสอบความร้อนภายในระบบ และการใช้ระบบระบายอากาศ ระบบระบายความร้อน ตลอดจนมีการติดตั้งระบบบริหารจัดการพลังงานในอาคารอัจฉริยะ CU BEMs (Building Energy Management) ในอาคารทั่วทั้งมหาวิทยาลัย เพื่อใช้มอนิเตอร์ ควบคุมและสั่งการการใช้พลังงานในแต่ละอาคารให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ลดการใช้พลังงานโดยไม่จำเป็น โดยสามารถตรวจสอบและจำกัดการใช้พลังงานในแต่ละอาคารผ่านเว็บแอปพลิเคชันและ dashboard ที่รายงานข้อมูลการใช้พลังงานสูงสุด (Peak Load) และจำนวนการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งระบบนี้ออกแบบโดยหน่วยปฏิบัติการวิจัยระบบโครงข่ายไฟฟ้าสมาร์ทกริด (Smart Grid Reseach Unit- SGRU) ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ร่วมกับมหาวิทยาลัยโตเกียว และกลุ่มอุตสาหกรรมทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (สนพ.) กระทรวงพลังงาน
3. Creating Green Growth
จุฬาฯ ได้สนับสนุนงานวิจัยและความร่วมมือในระดับประเทศและนานาชาติ รวมไปถึงการลงทุนสีเขียว เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีไร้คาร์บอน โดยศูนย์ Bio-Circular-Green economy Technology & Engineering Center คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ได้ร่วมมือกับภาครัฐ ภาคเอกชน ธุรกิจอุตสาหกรรม และองค์กรสาธารณะ จัดตั้งความร่วมมือในนาม Thailand CCUS Consortium เพื่อวางแผน วิจัย พัฒนาการใช้เทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture, Utilization and Storage: CCUS) ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญในการนำเอา CO2 ที่เดิมถูกมองว่าเป็นมลพิษ มาแปรรูปแล้วนำไปใช้ประโยชน์ด้านต่าง ๆ สร้างมูลค่าทางด้านการพาณิชย์และยังช่วยขจัดมลภาวะให้กับสภาพแวดล้อม
อีกทั้ง นักวิจัย จุฬาฯ ได้แปลงคาร์บอนไดออกไซด์เป็นเมทานอลโดยใช้พลังงานน้อยแต่ได้ผลมาก ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการวิจัยการแปลงก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงขึ้น (Carbon Dioxide (CO2) Conversion to Higher-Valued Products) ภายใต้การสนับสนุนทุนวิจัย “Research Cess Fund” (RCF) จาก Malaysia-Thai Joint Authority (MTJA) ในระดับนานาชาติ และที่ผ่านมา จุฬาฯ ให้ความสำคัญเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางพลังงาน (Energy Transition) และพลังงานสะอาดมากขึ้น โดย คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ได้ลงนามข้อตกลงร่วมกับบริษัท Hitachi Energy เพื่อส่งเสริมสนับสนุนการศึกษา การวิจัยพัฒนาและการเรียนรู้ทางเทคโนโลยี ในประเด็นที่เกี่ยวกับพลังงาน อาทิ ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ไมโครกริด (Microgrid) ระบบผลิตไฟฟ้าและบริหารจัดการไฟฟ้าขนาดเล็กสำหรับชุมชน โดยใช้พลังงานทดแทนเป็นหลัก ระบบกักเก็บพลังงานแบบแบตเตอรี่ (BESS) การขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า (e-Mobility) ไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen) ซึ่งเป็นหนึ่งในพลังงานสะอาด และศึกษาอนาคตทางพลังงานที่ยั่งยืน (Sustainable Energy Future) มาตั้งแต่ในปี พ.ศ. 2565
4. Lifestyle Transition
จุฬาฯ ได้ดำเนินการจัดหารถโดยสารระบบไฟฟ้า รวมถึงตัวเลือกในการเดินทางที่ปล่อยคาร์บอนน้อย (Low Carbon Transportation) เช่น จักรยาน รถตุ๊กๆ ไฟฟ้า สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า มาให้บริการกับนิสิตและบุคลากรภายในมหาวิทยาลัย [ http://www.sustainability.chula.ac.th/report/3118/ ] อีกทั้งยังมีการปรับปรุงทางเดินมีหลังคา หรือ Cover way เชื่อมต่ออาคารต่าง ๆ ภายในมหาวิทยาลัย เพื่ออำนวยความสะดวกให้บุคคลทั้งภายในและภายนอกที่เข้ามาติดต่องานภายในมหาวิทยาลัยสามารถเดินทางด้วยเท้าได้ทั่วทั้งพื้นที่ของมหาวิทยาลัยอีกด้วย [ http://www.green.chula.ac.th/index.php/transportation/cu-cover-way-sky-walk/ ]
5. Social Transition & Support System
เพื่อกระตุ้นให้ประชาคมจุฬาฯ อยากร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันการลดก๊าซเรือนกระจกภายในมหาวิทยาลัย จุฬาฯ มีแผนเดินหน้าจัดกิจกรรมและโครงการต่าง ๆ อาทิ เวทีเสวนา โครงการประกวดคลิปสั้นและการแลกเปลี่ยนข่าวสารระหว่างนิสิตและบุคลากรผ่านช่องทางสื่อออนไลน์อีกด้วย เพื่อให้ประชาคมจุฬาฯ ตระหนักถึงความสำคัญและผลกระทบที่ตามมาของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและสร้างจิตสำนึก เตรียมพร้อมเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน
ที่มา
- สำนักบริหารระบบกายภาพ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- สำนักงานจัดการทรัพย์สิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

SDG ที่เกี่ยวข้อง
อื่นๆ
การปรับปรุงอาคารของจุฬาฯ และการพัฒนาเทคโนโลยีสนับสนุนต่าง ๆ เพื่อเป็นการช่วยลดและใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพในทุกมิติของการดำเนินงาน โดยส่วนหนึ่งสามารถเห็นได้จากการจัดทำแผนและโครงการอย่างต่อเนื่องเพื่อปรับปรุงอาคารที่มีอยู่เดิมให้มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น ภายใต้แนวทางการพัฒนาอาคารเขียว (Green Building) และการบริหารจัดการพลังงานอย่างยั่งยืน
บริษัท ซียูเอ็นเทอร์ไพรส์ จำกัด
สร้างนวัตกร ต่อยอดงานวิจัย และส่งเสริมนวัตกรรมให้เกิดประโยชน์เชิงพาณิชย์ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจแก่สังคม โดยดำเนินงานร่วมกับศูนย์กลางนวัตกรรมแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้คำแนะนำบ่มเพาะผู้ประกอบการ ระดมทุน รวมทั้งร่วมลงทุนในบริษัทสปินออฟ
การดำเนินการนโยบายด้านความยั่งยืนกับ Outsource ของจุฬาฯ
จากการดำเนินงานตามนโยบายด้านการจัดการขยะและขยะอันตราย และ มาตรการลดขยะพลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้ง มหาวิทยาลัยขยายการดำเนินการนโยบายด้านการบริหารจัดการขยะให้ครอบคลุมถึงร้านค้า ซึ่งเป็น Outsource ผู้ให้บริการอาหารโดยระบุในสัญญาร้านค้า ให้ปฏิบัติตามนโยบายและมาตรการต่าง ๆ ด้านการจัดการขยะ โดยต้องให้ความร่วมมือกับโครงการ Chula Zero Waste ที่มีเป้าหมายในการลดการก่อขยะ ส่งเสริมการแยกขยะนำกลับไปใช้ประโยชน์ และการปลูกฝังจิตสำนึกส่งเสริมการบริโภคอย่างยั่งยืนภายในมหาวิทยาลัยให้แก่นิสิต คณาจารย์ บุคลากรจุฬาฯ
“อาคารเขียว” กับ การพัฒนาอาคารใหม่อย่างยั่งยืนของจุฬาฯ
การพัฒนาพื้นที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มุ่งเน้นความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม คำนึงถึงบริบทการเปลี่ยนแปลงที่เป็นปัจจุบันที่มีความสำคัญในหลากหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริบทที่มีความเกี่ยวข้องกับความตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก (Climate change) ซึ่งมีผลมาจากกิจกรรมหรือการใช้ทรัพยากรที่เกิดขึ้นในแง่มุมต่างๆ โดยเฉพาะด้านการพัฒนาทางกายภาพภายในพื้นที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย










