กรณีศึกษา

ฟาร์มโคนมไทยเฮ! จุฬาฯ ตั้งศูนย์วิจัยพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยี ยกระดับนมไทยยืนหนึ่งในอาเซียน

ในปี 2563 ประเทศไทย มีกำลังการผลิตน้ํานมดิบจากแม่โคนมในประเทศได้ราว 3,500 ตัน/วัน จากแม่โคทั่วประเทศ ประมาณ 310,000 ตัว โดยมีแหล่งผลิตน้ำนมดิบที่สำคัญอยู่ในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา สระบุรี ลพบุรี เชียงใหม่ ราชบุรี และประจวบคีรีขันธ์ โดยแบ่งสัดส่วนการใช้น้ํานมดิบ นมโรงเรียน : นมพาณิชย์ เท่ากับ 30 : 70 โดยน้ำนมดิบที่เกษตรกรขายได้ในตลาดช่วงเดือนมิถุนายน 2563 ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 18.50 บาท/กิโลกรัม โดยแม่โคนมไทยได้รับความนิยมจากประเทศคู่ค้าในสมาชิกอาเซียนและต้องการนำเข้าแม่โคนมจากไทยเพราะสามารถพัฒนาสายพันธุ์ได้เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศเขตร้อนชื้นของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ดี จึงทำให้ไทยสามารถส่งออกแม่โคนมได้ 840 ตัวต่อปี ในขณะที่คู่แข่งทางการค้าที่สำคัญของไทยในภูมิภาคอาเซียนคือออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ที่ส่งออกผลิตภัณฑ์นมเข้ามาจำหน่าย และยังขยายฐานการผลิตเข้ามาแข่งขันตีตลาดของไทย

กลุ่มวิจัยเศรษฐกิจปศุสัตว์ ได้ศึกษาและเผยถึงสภาพปัญหาและอุปสรรคปัจจัยที่มีผลต่อการแข่งขันของอุตสาหกรรมโคนมไทย โดยมุ่งเป้าไปที่ 3 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ 1) ต้นทุนการผลิตน้ํานมของเกษตรกรไทยสูงเนื่องจากอาหารโคนมทั้งอาหารข้น และอาหารหยาบมีปริมาณไม่เพียงพอ และคุณภาพยังไม่เหมาะสม 2) การขนส่งน้ํานมของเกษตรกรมีค่าใช้จ่ายสูง และมีปัญหาเรื่องคุณภาพน้ํานม และ 3) ภาวะเศรษฐกิจซบเซาจากปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด19 ส่งผลกระทบต่อการบริโภคผลิตภัณฑ์นม

ด้วยมูลเหตุเหล่านี้ ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องเร่งปรับปรุงและพัฒนาโครงสร้างการผลิตนมและส่งเสริมเกษตรกรให้ปลูกพืชอาหารสัตว์ที่เหมาะสมกับโคนมภายในประเทศ จึงถือเป็นอีกหนึ่งบทบาทสำคัญของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งมีศูนย์เครือข่ายการเรียนรู้เพื่อภูมิภาคตั้งอยู่ในจังหวัดสระบุรี จัดตั้งศูนย์วิจัยและถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาการเลี้ยงโคนมในเขตร้อนชื้น คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี โดยได้ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ ได้แก่ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) สนับสนุนทุนวิจัยทุนวิจัยพัฒนาพื้นที่ และหน่วยงานเอกชน ได้แก่ บริษัท ซีพี-เมจิ จำกัด สหกรณ์และศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบ 5 แห่ง ผนึกกำลังกันเป็นภาคีเครือข่ายแห่งการพัฒนาเพื่อบูรณาการและถ่ายทอดองค์ความรู้จากนักวิชาการ รวมถึงนวัตกรรมที่หลากหลายมาประยุกต์ใช้พัฒนาการเลี้ยงโคนมอย่างยั่งยืน

ด้วยความพร้อมทั้งด้านวิชาการ งานวิจัย ห้องปฎิบัติการด้านสุขภาพสัตว์ คุณภาพน้ำนม และคุณภาพอาหารสัตว์ รวมทั้งยังมีหน่วยบริการวิชาการด้านโคนมในพื้นที่สระบุรี คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงได้ดำเนินโครงการ “การยกระดับประสิทธิภาพการผลิตของฟาร์มโคนมโดยใช้นวัตกรรมบริการสัตวแพทย์” ขึ้น เพื่อให้เกิดการทำงานร่วมกันระหว่างนักวิชาการ สัตวแพทย์ และองค์กรที่เกี่ยวข้องเพื่อดึงศักยภาพและประสิทธิภาพของเกษตกรผู้เลี้ยงโคนมในพื้นที่ที่มีการเลี้ยงโคนมหนาแน่นที่สุดในประเทศไทยให้พร้อมปรับตัวรับกับความท้าทายและก้าวข้ามอุปสรรคในการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเกษตรมาประยุกต์ใช้ยกระดับประสิทธิภาพการผลิตและคุณภาพน้ำนมดิบ ด้วยกระบวนการบริหารจัดการองค์ความรู้จากสถานการณ์จริงในพื้นที่ และถ่ายทอดบทเรียน เพื่อให้เกิดการประยุกต์ใช้องค์ความรู้ร่วมกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมมายกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันทางการเกษตรโดยปรับเปลี่ยนระบบการผลิตแบบดั้งเดิมสู่การเป็น “Smart Farming” ทำให้ชุมชนเกษตรมีความมั่นคงในอาชีพ มีรายได้เพิ่มมากขึ้น  และยังเกิดเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันในภาควิชาการ ภาคธุรกิจ และพัฒนาเกษตรกรรมให้เป็นต้นแบบ “นวัตกรรมบริการสัตวแพทย์โคนมในชุมชน” เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการผลิตของฟาร์มโคนม

โครงการได้คัดเลือกเกษตรกรต้นแบบจำนวน 6 ฟาร์ม จากองค์กรเกษตรกรทั้งหมด 5 องค์กร เป็นสหกรณ์โคนม 2 แห่ง ศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบเอกชน 3 แห่งในจังหวัดสระบุรีและนครราชสีมา โดยพิจารณาจากความสนใจเข้าร่วมโครงการและยินดีให้ความร่วมมือ เกษตรกรทั้ง 6 ฟาร์มจะได้รับการบริการทางสัตวแพทย์จากคลินิกโคนมเคลื่อนที่ของโรงพยาบาลปศุสัตว์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาฯ เข้าตรวจเยี่ยมฟาร์ม แก้ปัญหาด้านสมรรถภาพการสืบพันธุ์ของโคนม เฝ้าระวังโรคเต้านมอักเสบ ติดตามการดื้อยาของเชื้อที่เป็นสาเหตุ พัฒนาสุขภาพเต้านมและคุณภาพน้ำนม รวมถึงการตรวจวิเคราะห์คุณภาพอาหารสัตว์เพื่อการปรับปรุงการจัดการอาหารสัตว์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด นำองค์ความรู้จากการวิจัยมาแก้ปัญหาผลกระทบของความเครียดจากความร้อนมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของฟาร์ม

ทั้งนี้ เกษตรกรยังจะได้เรียนรู้การบันทึกขัอมูลต่าง ๆ ของฟาร์มลงในฐานข้อมูลที่คณาจารย์พัฒนาขึ้น ทำให้สามารถนำข้อมูลต่าง ๆ และผลตรวจจากห้องปฏิบัติการมาใช้ติดตามสุขภาพของโคนมในฟาร์ม รวมทั้งใช้ประกอบการตัดสินใจเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของฟาร์ม เกษตรกรจะได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้จากนักวิชาการผ่านการรายงานผลการปฏิบัติงานประจำเดือน และยังได้รับการสนับสนุนงานด้านพัฒนาบุคลากรที่ทำหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรจากองค์กรเกษตรกรทั้งสหกรณ์โคนม และศูนย์รวบรวมน้ำดิบจะได้รับการพัฒนาจากการทำงานร่วมกับนักวิชาการ ทำให้โครงการได้รับการขยายผลออกไปสู่เกษตรกรในวงกว้างขึ้น  ผู้ประกอบการจะได้รับน้ำนมดิบที่มีคูณภาพสูงขึ้น ยกระดับคุณภาพผลิตภัณฑ์นมแปรรูปเพื่อการส่งออก  มีฟาร์มเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมและศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบเอกชนและสหกรณ์เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมในพื้นที่ได้รับประโยชน์ไม่น้อยกว่า 200 ครัวเรือน ทั้งในจังหวัดสระบุรี นครราชสีมาและพื้นที่ใกล้เคียง เกิดการแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากเกษตรกรช่วยให้การพัฒนาเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว พร้อมที่จะพัฒนาสู่ฟาร์มอัจฉริยะต้นแบบการเรียนรู้ Precision Dairy Farming ของชุมชนตนเองและประเทศไทย

ที่มา:

คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ศูนย์เครือข่ายการเรียนรู้เพื่อภูมิภาค จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

บทความที่เกี่ยวข้องฉบับก่อนหน้า:

รายละเอียดที่เกี่ยวข้อง:

อื่นๆ

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกับภารกิจสู้วิกฤตน้ำมันรั่วไหลพิทักษ์ท้องทะเลไทย

ปัญหาระบบนิเวศชายฝั่งทะเลไทยได้รับผลกระทบจากการรั่วไหลของน้ำมันดิบหลากหลายรูปแบบยังคงได้รับความสนใจจากประชาชนในวงกว้างทุกครั้งที่ถูกนำเสนอโดยสื่อมวลชน  เพราะในทุกปี ผู้คนที่อาศัยอยู่ใกล้ชายฝั่งหรือบริเวณป่าชายเลนในประเทศไทยจะพบคราบน้ำมันและก้อนน้ำมันบนชายฝั่งซึ่งเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม สิ่งมีชีวิต และกระทบการท่องเที่ยวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

จุฬาฯ กับการพัฒนาที่ยั่งยืนครั้งใหญ่ ใน Chula Sustainability Fest 2022

ในปี 2022 ผลงานที่มีส่วนในการสร้างความยั่งยืนของจุฬาฯ จะไม่อยู่แค่ใน SDGs Report แต่ได้ออกมาสื่อสารในงาน Chula Sustainability Fest 2022 เมื่อวันที่ 2-4 กันยายน 2565 เพื่อสร้าง Commitment สื่อสารนโยบายการพัฒนาที่ยั่งยืนของจุฬาฯ Connect เชื่อมโยงประชาคมจุฬาฯ และ Inspired สร้างแรงบันดาลใจให้ช่วยกันผลักดันการพัฒนาที่ยั่งยืน

CU Innovations for Society ภารกิจกู้วิกฤติโควิด-19 เพื่อคนไทย

เมื่อโลกถูกเขย่าอย่างรุนแรงด้วยเชื้อไวรัสที่แพร่ระบาดกลายเป็นโรคอุบัติใหม่ “โควิด-19” ปลุกให้หลายประเทศจำเป็นต้องลุกขึ้นมารับมือกับโรคร้ายนี้เพื่อดูแลประชาชนคนในชาติของตนรวมถึงประเทศไทยของเราด้วย

เปิดภารกิจฟื้นฟูชายฝั่งมาบตาพุด แนวทางสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

นิคมอุตสาหกรรมและท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดตั้งอยู่ในจังหวัดระยอง บนเนื้อที่ทั้งหมด 12,568 ไร่ ปัจจุบันนิคมอุตสาหกรรมแห่งนี้เป็นฐานการผลิตของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของประเทศ และเป็นพื้นที่การลงทุนของอุตสาหกรรมต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ที่สามารถเชื่อมโยงไปยังอุตสาหกรรมการผลิตมากมาย อาทิ อุปกรณ์เครื่องใช้ บรรจุภัณฑ์ อุปกรณ์ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ เสื้อผ้า เฟอร์นิเจอร์ รวมถึงยังช่วยส่งเสริมศักยภาพของอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ

ไอคอน PDPA

เราใช้คุกกี้เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของคุณ (ตั้งค่า)

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

Accept All
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • Necessary cookies
    เปิดใช้งานตลอด

    Necessary cookies are essential for the functioning of the website, allowing you to use and browse the site normally. You cannot disable these cookies in our website's system.

  • คุกกี้วิเคราะห์เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การใช้งาน

    คุกกี้เหล่านี้ใช้เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งานเว็บไซต์ เช่น จำนวนผู้เข้าชม, หน้าเว็บที่ได้รับความนิยม และพฤติกรรมการท่องเว็บ ซึ่งช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์ปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ได้

  • คุกกี้การทำงานเพื่อจดจำการตั้งค่าผู้ใช้

    คุกกี้เหล่านี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานเว็บไซต์ โดยจดจำการตั้งค่าที่ผู้ใช้เคยกำหนดไว้ เช่น ชื่อผู้ใช้, ภาษา, ภูมิภาค หรือการปรับแต่งเว็บไซต์ตามความต้องการ

Save