รื้อถอนแท่นปิโตรเลียมกลางอ่าวไทยอย่างไร ให้ความหลากหลายทางชีวภาพในท้องทะเลไทยยังคงอยู่
การขาดองค์ความรู้ด้านการดูแลรักษาและอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพนอกชายฝั่งทะเลของไทยอาจกำลังเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทําให้ประเทศไทยต้องสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพในท้องทะเล จนนําไปสู่การสูญเสียโอกาสพัฒนาเศรษฐกิจฐานชีวภาพทางทะเลอย่างเหมาะสมหลังการรื้อถอนแท่นและสิ่งติดตั้งในกิจการปิโตรเลียมหลายแหล่งกลางอ่าวไทยที่ทำหน้าที่ขุดเจาะก๊าซธรรมชาติและน้ำมันปิโตรเลียมกลางอ่าวไทยมากกว่า 3 ทศวรรษ กำลังทยอยหมดอายุสัมปทานลง ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีแท่นหลุมผลิตและขุดเจาะปิโตรเลียม รวมถึงแท่นที่พักอาศัยในอ่าวไทย มากกว่า 400 แท่น ยิ่งทําให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน โดยกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึงสถาบันการศึกษาจําเป็นต้องเร่งสร้างองค์ความรู้ให้เพียงพอและพร้อมใช้นำมาบริหารจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมทางทะเลนอกชายฝั่งอ่าวไทย โดยเฉพาะในกระบวนการวางแผนหาแนวทางที่เหมาะสม และตัดสินใจเชิงนโยบายที่เกี่ยวกับกิจกรรมการรื้อถอนแท่นปิโตรเลียมในอ่าวไทย
ศ.ดร.เผดิมศักดิ์ จารยะพันธุ์ ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงได้เริ่ม “โครงการศึกษาเบื้องต้นเกี่ยวกับความหลากหลายขีวิภาพทางทะเลนอกชายฝั่ง : กรณีศึกษาแท่นปิโตรเลียมในอ่าวไทยที่จะหมดอายุสัมปทาน” ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.) โดยก่อนหน้านี้ประเทศไทยเคยสำรวจและวิเคราะห์องค์ความรู้ที่มีอยู่เฉพาะบนบกและบริเวณชายฝั่งไม่เกิน 3 ไมล์ทะเลเท่านั้น ในขณะที่องค์ความรู้เกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพในเขตทะเลนอกชายฝั่งที่ประกอบไปด้วยสิ่งมีชีวิตและระบบนิเวศที่มีลักษณะเฉพาะเป็นสิ่งที่ประเทศไทยจำเป็นต้องมีองค์ความรู้ด้วยเช่นกัน เพื่อบริหารความเสี่ยงที่ประเทศไทยอาจจะสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเล สิ่งมีชีวิตไม่เสี่ยงสูญพันธุ์ และสูญเสียโอกาสพัฒนาเศรษฐกิจฐานชีวภาพทางทะเลหลังเข้าสู่กระบวนการรื้อถอนสิ่งติดตั้งที่ใช้ในกิจการปิโตรเลียมในทะเลซึ่งตั้งอยู่ในเขตเศรษฐกิจจำเพาะ ถึงแม้ว่าในปัจจุบันหนึ่งในแนวทางที่ประเทศไทยได้นำมาใช้ในการจัดการกับสิ่งติดตั้งฯ ที่หมดอายุสัมปทาน คือการนำส่ิงเหล่านี้่ไปใช้ประโยชน์ทางทะเลเชิงอนุรักษ์ในรูปแบบของการจัดทำปะการังเทียมจากขาแท่น (Rig to Reef) ซึ่งเป็นแนวทางหนึ่งที่ไม่ขัดกับข้อกฎหมาย
แต่อย่างไรก็ตาม วิธีดำเนินการรื้อถอนสิ่งติดตั้งไม่ได้จำเป็นจะต้องใช้แนวทางเดียวกันทั้งหมด การคงอยู่ของสิ่งติดตั้งบางแห่งอาจมีศักยภาพและมีบทบาทเป็นระบบนิเวศบริการ (Ecosystem Services) ที่จะช่วยรักษาความหลากหลายชีวภาพทางทะเลทั้งในบริเวณชายฝั่งและนอกชายฝั่งได้ด้วยเช่นกัน ดังนั้น การเตรียมความพร้อมศึกษาวิจัยที่เกี่ยวกับความหลากหลายชีวภาพทางทะเลในเขตนอกชายฝั่งที่ครอบคลุมตั้งแต่ระดับระบบนิเวศไปจนถึงระดับพันธุกรรมที่เหมาะสม และศึกษาความเป็นไปได้ในการวางสิ่งติดตั้งไว้ที่เดิม (leaving in place) จึงถือเป็นองค์ความรู้ที่มีความสำคัญที่จะทำให้หน่วยงานรับผิดชอบหลักทั้งภาครัฐและภาคเอกชนนำไปใช้พิจารณากระบวนการจัดการกับสิ่งติดตั้งได้อย่างเป็นระบบ และที่มากไปกว่านั้น องค์ความรู้เรื่องความหลากหลายชีวภาพในทะเลบริเวณสิ่งติดตั้งที่ใช้ในกิจการปิโตรเลียมที่หมดอายุสัมปทานนั้นยังถือเป็นฐานข้อมูลที่จะนำไปสู่การประกาศพื้นที่คุ้มครองทางทะเลในเขตเศรษฐกิจจำเพาะและการจัดทำบัญชีรายการเชิงลึก (Incentory Biodiversity) ของประเทศไทย ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในระดับต่าง ๆ ได้อีกด้วย การมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อการรักษาระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพในท้องทะเลไทยผ่านงานวิจัยโครงการนี้ จึงเป็นความพยายามพิทักษ์รักษาและขยายระบบนิเวศที่มีอยู่และความหลากหลายทางชีวภาพของพืชและสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบนิเวศที่ถือว่ากำลังอยู่ภายใต้ภัยคุกคาม
ที่มา:
สถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
รายละเอียดที่เกี่ยวข้อง:
อื่นๆ
CU Innovations for Society ภารกิจกู้วิกฤติโควิด-19 เพื่อคนไทย
เมื่อโลกถูกเขย่าอย่างรุนแรงด้วยเชื้อไวรัสที่แพร่ระบาดกลายเป็นโรคอุบัติใหม่ “โควิด-19” ปลุกให้หลายประเทศจำเป็นต้องลุกขึ้นมารับมือกับโรคร้ายนี้เพื่อดูแลประชาชนคนในชาติของตนรวมถึงประเทศไทยของเราด้วย
เปิดภารกิจฟื้นฟูชายฝั่งมาบตาพุด แนวทางสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
นิคมอุตสาหกรรมและท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดตั้งอยู่ในจังหวัดระยอง บนเนื้อที่ทั้งหมด 12,568 ไร่ ปัจจุบันนิคมอุตสาหกรรมแห่งนี้เป็นฐานการผลิตของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของประเทศ และเป็นพื้นที่การลงทุนของอุตสาหกรรมต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ที่สามารถเชื่อมโยงไปยังอุตสาหกรรมการผลิตมากมาย อาทิ อุปกรณ์เครื่องใช้ บรรจุภัณฑ์ อุปกรณ์ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ เสื้อผ้า เฟอร์นิเจอร์ รวมถึงยังช่วยส่งเสริมศักยภาพของอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ
การเพิ่มคุณภาพชีวิตให้คนพิการขาขาดทั่วประเทศไทยด้วยนวัตกรรมเท้าเทียมไดนามิกส์เอสเพส (sPace)
โครงการเพิ่มคุณภาพชีวิตให้คนพิการขาขาดทั่วประเทศไทยด้วยนวัตกรรมเท้าเทียมไดนามิกเอสเพส โดยได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว) ผ่านสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช) โดยได้นำเอาผลงานวิจัยนวัตกรรมเท้าเทียมไดนามิกส์เอสเพส มาผลิตเพื่อแจกจ่ายให้กับผู้พิการขาขาดจำนวน 300 ราย ได้เข้าถึงเท้าเทียมคุณภาพสูง โดยแจกจ่ายผ่านโรงพยาบาลของรัฐจำนวน 22 แห่ง
เปิดเบื้องหลังความสำเร็จบนเส้นทางแห่งการพัฒนาวัคซีนจุฬาฯ
Chula VRC ก่อตั้งขึ้นในปี 2560 มีความมุ่งมั่นที่จะสร้างความเสมอภาคทางด้านวัคซีนให้เกิดขึ้นได้จริง ซึ่งถือเป็นภารกิจในระดับนานาชาติ โดยมีพันธกิจในการวิจัย และพัฒนาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ และมีความปลอดภัย ในราคาที่สามารถเข้าถึงได้ โดยเฉพาะในงานด้านการป้องกันโรคติดเชื้อและโรคไม่ติดเชื้อชนิดต่าง ๆ