จุฬาฯ กับความร่วมมือเพื่อฟื้นชีวิตป่าชุมชนไทย: ป่าอยู่รอด ชุมชนยั่งยืน
ป่าชุมชน (community forests) เป็นป่าที่ชุมชนในพื้นที่ใกล้เคียงสามารถเข้าใช้ประโยชน์ต่าง ๆ ที่ผสานรวมเป็นวิถีชีวิตของคนในชุมชนมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่การหาของป่าต่าง ๆ (non-timber forest products) เพื่อเป็นอาหาร ยาสมุนไพรรักษาโรค รวมถึงเป็นสินค้าเพื่อสร้างรายได้ให้แก่คนในชุมชน โดยชุมชนจะรวมกันดูแลรักษาพื้นป่าเหล่านี้ด้วยตนเอง ทำให้ป่าชุมชนเปรียบเสมือนพื้นที่กันชน (buffer zone) เพื่อไม่ให้ชุมชนบุกรุกเข้าไปเขตพื้นที่อนุรักษ์ แต่ในปัจจุบัน ป่าชุมชนในหลายพื้นที่ไม่สามารถเป็นพื้นที่กันชนได้ เนื่องจากป่าชุมชนขาดความอุดมสมบูรณ์ ทั้งจากการถูกทำลายด้วยไฟป่าที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี หรือพื้นที่ดังกล่าวเกิดการเปลี่ยนแปลงไปจนป่าไม่สามารถฟื้นฟูด้วยตัวเองได้ ทำให้ชาวบ้านพยายามเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่อนุรักษ์ ดังนั้น หากเราสามารถฟื้นฟู คืนความอุดมสมบูรณ์ให้กับป่าชุมชนที่เสื่อมโทรมได้ ก็จะช่วยให้ชาวบ้านที่อยู่รอบ ๆ ป่าชุมชนสามารถกลับมาใช้ประโยชน์ตามวิถีคนอยู่กับป่า รวมถึงส่งเสริมการตระหนักรู้ในการดูแลรักษาอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติใกล้ชุมชน และป่าชุมชนจะสามารถทำหน้าที่ของการเป็นพื้นที่กันชนระหว่างคนในชุมชนกับป่าอนุรักษ์ได้อีกครั้ง



โดยโครงการ “ไม้ยืนต้น ป่ายั่งยืน” เป็นโครงการต่อเนื่องในการฟื้นฟูป่าต้นน้ำจาก 6 ชุมชนต้นแบบ ในอำเภอหางดง และอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ของสิงห์อาสา โดย มูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี และ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด และเครือข่ายมหาวิทยาลัยหลายแห่ง นำโดยคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยแม่โจ้ และคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อส่งเสริมให้ชุมชนต้นแบบ เป็นพื้นที่อาสาปกป้องชายขอบไม่ให้ไฟป่าลุกลามทำลายผืนป่าอุทยานแห่งชาติฯ ตอกย้ำแนวคิด “คนอยู่ได้ ป่าอยู่รอด สัตว์ได้พึ่งพิง” พบว่า สามารถสร้างพื้นที่ปลูกป่าใหม่ให้รอดชีวิตได้แล้วกว่า 80-90% ตั้งแต่ปีแรกของโครงการ (พ.ศ. 2565) โดยใช้วิธีการกำหนดฤดูปลูก คัดเลือกพันธุ์ไม้ที่เหมาะสมกับพื้นที่และผู้คนใช้ประโยชน์ได้ รวมถึงสนับสนุนให้ชุมชนมีบทบาทหลักในการขับเคลื่อนโครงการ ทั้งนี้ ยังได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆ เช่น บริษัท เชียงใหม่เบเวอเรช จำกัด บริษัทในเครือบุญรอดฯ, สภาลมหายใจเชียงใหม่, เทศบาลตำบลบ้านปง, อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย, สำนักงานจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่1 (เชียงใหม่), พร้อมด้วยเครือข่ายนักศึกษาสิงห์อาสาภาคเหนือ 13 สถาบัน และตั้งแต่ปีที่ 3 ของโครงการ (พ.ศ. 2567) เป็นต้นมาจนถึงในปัจจุบัน (พ.ศ. 2568) ยังได้ผสานองค์ความรู้การใช้ราไมคอร์ไรซาที่สั่งสมผ่านงานวิจัยมากว่า 20 ปี จากคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเข้ามา เพื่อเสริมสร้างความอุดมสมบูรณ์และเพิ่มผลผลิตเห็ดให้แก่พื้นที่ป่าที่ได้รับการฟื้นฟู ทั้งจากการลงพื้นที่ให้ความรู้แก่ผู้นำชุมชนอย่างใกล้ชิด และสาธิตการใส่เชื้อในพื้นที่ป่าชุมชน รวมถึงการถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่คนในชุมชนและเยาวชนผ่านการอบรมเชิงบรรยาย [ https://mgronline.com/local/detail/9680000072460 ]

ราไมคอร์ไรซามีความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัย (mutualism) กับต้นไม้พืชอาศัย โดยต้นไม้จะแบ่งอาหารที่ได้จากการสังเคราะห์ด้วยแสงให้กับรา ในขณะที่ราที่อาศัยอยู่ที่รากพืชนี้จะคอยดูดซึมน้ำและแร่ธาตุให้กับต้นไม้ รวมถึงเป็นส่วนสำคัญในวัฏจักรการหมุนเวียนธาตุอาหารในระบบนิเวศป่า อีกทั้งเส้นใยราไมคอร์ไรซาใต้ดินนี้ยังเชื่อมต่อต้นไม้ที่เป็นพืชอาศัยเอาไว้เป็นจำนวนมาก สามารถเกิดการส่งอาหารและสารต่าง ๆ ระหว่างกัน ก่อเกิดเป็นโครงข่ายขนาดใหญ่ที่เรียกว่า “Wood Wide Web” ดังนั้นในการฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจุลินทรีย์ดินที่ดีอย่างไมคอร์ไรซานี้ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เกิดการฟื้นฟูป่า


นอกจากโครงการ “ไม้ยืนต้น ป่ายั่งยืน” ของสิงห์อาสา ยังมีโครงการ “การฟื้นฟูป่าชุมชนที่เสื่อมโทรมในประเทศไทย เพื่อสร้างความสมดุลทางนิเวศและความเป็นอยู่อย่างยั่งยืน” ซึ่งเป็นโครงการที่ต่อเนื่องจากการฟื้นฟูป่าชุมชนในพื้นที่จังหวัดสระบุรีโดยการประยุกต์ใช้ราไมคอร์ไรซาร่วมกับการปลูกไม้พื้นถิ่น และได้ขยายพื้นที่ออกไปยังชุมชนอื่น โดยดำเนินการร่วมกับมูลนิธิฟื้นฟูป่าพื้นถิ่น และ EarthCare Foundation เป็นผู้สนับสนุนให้ทุน โดยโครงการนี้ นอกจากจะเป็นการฟื้นฟูป่าชุมชนโดยคนในชุมชนซึ่งได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้ในการฟื้นฟู ดูแลและอนุรักษ์ป่าชุมชน ยังเป็นการส่งเสริมการจ้างงานในชุมชนในการปลูกและดูแลกล้าไม้หลังการย้ายปลูก เมื่อป่าชุมชนได้รับการฟื้นฟู เกิดความอุดมสมบูรณ์ คนในชุมชนจะสามารถมีรายได้จากการเก็บของป่าขายได้ ทั้งสมุนไพรต่าง ๆ และเห็ดป่า เป็นการส่งเสริมให้ชุมชนตระหนักถึงคุณค่าของทรัพยากรในท้องถิ่น สร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนผ่านความมั่นคงทางอาหารและรายได้ และสามารถอยู่ร่วมกับป่าอย่างยั่งยืน



ที่มา :
- คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- ศูนย์เครือข่ายการเรียนรู้เพื่อภูมิภาค จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

SDG ที่เกี่ยวข้อง
อื่นๆ
จุฬาฯ สร้างระบบส่งเสริมสุขภาพช่องปากให้กลุ่มเปราะบางชายขอบด้วยระบบ Digital Health Platform
องค์การสหประชาชาติประกาศให้โรคทางช่องปากเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญของประชากรโลก สถานการณ์โรคฟันผุที่ยังไม่ได้รักษา ในชุดฟันแท้เป็นโรคที่มีพบมากที่สุดในโลก ร้อยละ 35 ของประชากรโลก ในขณะที่โรคปริทันต์อักเสบระดับรุนแรงที่จะนำไปสู่การสูญเสียฟันนั้นยังมีอีกร้อยละ 11 ของประชากรโลก และอัตราการเกิดมะเร็งช่องปากยังเพิ่มขึ้นอย่างคงที่
ความร่วมมือระหว่างจุฬาฯ กับองค์กร NGOs เพื่อผลักดันด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างความร่วมมือกับองค์กรภายนอกทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ เพื่อพัฒนาแนวทางและเสริมศักยภาพด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างเป็นรูปธรรม มหาวิทยาลัยได้ดำเนินโครงการและกิจกรรมร่วมกับองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรหลายแห่ง เพื่อบูรณาการองค์ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อม เมืองยั่งยืน และการพัฒนาอย่างครอบคลุมให้เกิดผลลัพธ์ที่ยั่งยืนในระดับชุมชนและภูมิภาค
เกม “Urban Green มหานครสีเขียว” เพื่อการเรียนรู้ความสำคัญของพื้นที่สีเขียวในเมือง
นับตั้งแต่ช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรม ประชากรมนุษย์ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมากกว่าครึ่งหนึ่งของประชากรในปัจจุบันอาศัยอยู่ในเมือง ซึ่งคาดว่าแนวโน้มนี้จะดำเนินต่อไป เป็นเหตุให้เกิดการขยายตัวของชุมชนเมือง การขยายตัวของเมืองส่งผลกระทบต่อการใช้ที่ดินและรูปแบบของความหลากหลายทางชีวภาพ ทำให้พื้นที่สีเขียวที่มีตามธรรมชาติที่ลดลง เป็นไปได้ที่จะกล่าวว่าการขยายตัวของเมืองเป็นสาเหตุหลักของการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต
ร่วมมือกับ NGOs เพื่อขับเคลื่อน SDGs ผ่านกิจกรรมการอาสาสมัครของนิสิต
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีวิสัยทัศน์ในการเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนในหลายๆ ด้าน ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม สังคม และเศรษฐกิจ ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับเป้าหมาย SDGs ทั้งหมด จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยร่วมมือกับหลายองค์กร ทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ และองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร(NGOs) โดยนิสิตมีบทบาทสำคัญในการผลักดันเป้าหมาย SDGs ในด้านต่างๆ โดยเข้าร่วมในโครงการอาสาสมัครต่างๆ




