กรณีศึกษา

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย: สานพลังความร่วมมือเพื่อสุขภาวะที่ดีของโลก

ในโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทายด้านสุขภาพ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยืนหยัดเป็นประภาคารแห่งความหวัง ด้วยการทุ่มเทขับเคลื่อน เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG) ข้อที่ 3 ขององค์การสหประชาชาติ—สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของทุกคน ผ่านเครือข่ายความร่วมมือที่ทอดยาวจากชุมชนท้องถิ่นสู่เวทีโลก

มหาวิทยาลัยได้สร้างสรรค์ศูนย์วิจัยระดับโลกสองแกนหลัก คือ ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย (EID) และ ศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ (ChulaVRC) ที่ไม่เพียงแต่พิทักษ์สุขภาพของคนไทย แต่ยังเป็นผู้นำในการกำหนด แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดระดับสากล เพื่อจัดการโรคอุบัติใหม่และส่งเสริมสุขภาพของมนุษยชาติ สนับสนุน SDG ข้อที่ 17 ด้านการสร้างหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

ศูนย์วิจัยวัคซีน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Chula VRC)
[ https://www.chulavrc.org/ ]

รากฐานที่แข็งแกร่ง: สร้างผลกระทบในระดับท้องถิ่น

เมื่อโรคอุบัติใหม่คุกคามชุมชน ศูนย์ EID กลายเป็นเกราะป้องกันชั้นแรก ศูนย์ฯ ทำงานอย่างใกล้ชิดกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ เปลี่ยนงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ชั้นสูงให้กลายเป็นเครื่องมือที่ใช้งานได้จริงในสนาม จากการพัฒนาวิธีการวินิจฉัยโรคจากตัวอย่างที่หลากหลาย—ไม่ว่าจะเป็นน้ำนมแม่ น้ำคร่ำ น้ำเชื้อ น้ำลาย หรือเนื้อเยื่อจากอวัยวะต่างๆ—ศูนย์ฯ ช่วยให้การตรวจสอบโรคเป็นไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น

ไม่เพียงแต่การวิจัย การบูรณาการงานวิจัยเข้ากับการอบรมเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในชุมชนยังช่วยสร้างศักยภาพในการรับมือกับโรคระบาดได้ทันท่วงที ทำให้ชุมชนท้องถิ่นมีภูมิคุ้มกันที่เข้มแข็งต่อภัยคุกคามด้านสุขภาพ

ในขณะเดียวกัน ChulaVRC ก็สานต่อพันธกิจนี้ด้วยการร่วมมือกับสถาบันการศึกษาและโรงพยาบาลชั้นนำของประเทศ อาทิ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เพื่อสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมด้านวัคซีนและสุขภาพ ที่ทำให้ชุมชนเข้าถึงวัคซีนและความรู้ด้านการป้องกันโรคได้ง่ายขึ้น

เสาหลักแห่งชาติ: เสริมสร้างความมั่นคงทางสุขภาพของไทย

จุฬาฯ ไม่เพียงเป็นมหาวิทยาลัย แต่คือศูนย์กลางแห่งความมั่นคงทางสุขภาพของชาติ ศูนย์ EID ประสานงานอย่างใกล้ชิดกับกระทรวงสาธารณสุขและกรมควบคุมโรค ในการตรวจวินิจฉัยและยืนยันผู้ติดเชื้อโรคต่างๆ รวมถึงโควิด-19 ข้อมูลที่ได้จากศูนย์ฯ กลายเป็นเข็มทิศสำคัญในการวางแผนป้องกันการระบาดและปกป้องชีวิตผู้คนนับล้าน

ChulaVRC ยกระดับความมั่นคงนี้สู่มิติใหม่ ด้วยการพัฒนาวัคซีนที่ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และเข้าถึงได้ สำหรับโรคที่คุกคามสุขภาพของคนไทย—โควิด-19 ไข้เลือดออก HIV โรคฉี่หนู และภูมิแพ้ไรฝุ่น

ความร่วมมือระหว่างศูนย์ฯ กับหน่วยงานไทยและบริษัทชั้นนำอย่างไบโอเนท-เอเชีย ทำให้เกิดฐานการผลิตวัคซีน mRNA ภายในประเทศ พร้อมกับการพัฒนาวัคซีน ChulaCov19 ที่ใช้เทคโนโลยี mRNA รุ่นที่สอง (Bivalent) ซึ่งผ่านการทดลองทางคลินิกทั้งในไทยและออสเตรเลีย

ความสำเร็จนี้มีความหมายอย่างยิ่ง: ไทยสามารถผลิตวัคซีนคุณภาพระดับสากลได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องพึ่งพาการนำเข้าอีกต่อไป พร้อมเสริมความมั่นคงทางสุขภาพในระยะยาว

นอกจากนี้ ChulaVRC ยังมองไปข้างหน้าด้วยการพัฒนาวัคซีนสำหรับโรคระบาดในอนาคตและโรคที่เป็นปัญหาสาธารณสุขระยะยาว พร้อมสร้างมาตรฐานการผลิตที่เข้าถึงได้และราคาย่อมเยา เพื่อให้ทุกคนได้รับการคุ้มครอง

เชื่อมโลก: ความร่วมมือและการวิจัยระดับนานาชาติ

ในยุคที่โรคระบาดไม่รู้จักพรมแดน จุฬาฯ เข้าใจดีว่าการแก้ปัญหาต้องอาศัยพลังแห่งความร่วมมือระหว่างประเทศ ศูนย์ EID และ ChulaVRC จึงขยายเครือข่ายงานวิจัยสู่เวทีโลก ผ่านการทำงานร่วมกับองค์กรชั้นนำระดับโลก เช่น องค์การอนามัยโลก (WHO) USAID และ กระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา

ศูนย์ EID มีส่วนร่วมในโครงการวิจัยสำคัญระหว่างประเทศ อาทิ โครงการ PREDICT ของ USAID เพื่อสร้างเครือข่ายนักวิจัยและพัฒนาห้องปฏิบัติการด้านโรคอุบัติใหม่ งานวิจัยของศูนย์ฯ เน้นด้าน Human-animal interface (Zoonoses) เพื่อระบุสัตว์พาหะและพื้นที่เสี่ยง—ป้องกันโรคระบาดก่อนที่จะลุกลาม

ศูนย์ฯ ยังทำงานร่วมกับ WHO ในการฝึกอบรมประเทศสมาชิกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 11 ประเทศ และสนับสนุนการพัฒนามาตรฐานสากลด้านการป้องกันโรคอุบัติใหม่ สร้างเครือข่ายป้องกันที่แข็งแกร่งทั่วภูมิภาค

ChulaVRC ก้าวไปอีกระดับด้วยการทำงานร่วมกับนักวิจัยระดับโลก โดยเฉพาะศาสตราจารย์ Drew Weissman แห่งมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย (ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ ปี 2023) และสถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐฯ (NIH) ในการพัฒนาวัคซีน mRNA

ความร่วมมือเหล่านี้ไม่เพียงแต่นำเทคโนโลยีล้ำสมัยมาสู่ไทย แต่ยังช่วยให้ประเทศไทยมีส่วนร่วมในการทบทวนแนวทางเปรียบเทียบและพัฒนา international best practice ในการจัดการโรคอุบัติใหม่และการส่งเสริมสุขภาพระดับโลก—สนับสนุน SDG ข้อที่ 17 ด้านความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

มาตรฐานระดับโลก: สร้างแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด

ด้วยเครือข่ายความร่วมมือที่ทอดยาวจากชุมชนท้องถิ่นสู่เวทีโลก ศูนย์ EID และ ChulaVRC กลายเป็นผู้นำในการกำหนดมาตรฐานสากลสำหรับการจัดการโรคอุบัติใหม่

ตัวอย่างที่โดดเด่นคือการพัฒนา COVID-19 Mass Spectrometry Test—เทคโนโลยีการตรวจที่สามารถตรวจหาไวรัสและโปรตีนที่เกี่ยวข้องได้รวดเร็ว แม่นยำ และตรวจประชากรจำนวนมากในราคาประหยัด เทคโนโลยีนี้เป็นตัวอย่างของนวัตกรรมที่เกิดจากการผสานความรู้ระหว่างประเทศเข้ากับบริบทท้องถิ่น

ความร่วมมือทั้งหมดนี้ช่วยพัฒนาขีดความสามารถของประเทศไทยทั้งด้านงานวิจัย การป้องกัน และการจัดการวัคซีน ตลอดจนสร้างมาตรฐานแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดระดับสากล ที่ประเทศอื่นๆ สามารถนำไปปรับใช้ได้

ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
[ https://www.trceid.org/home ]

บทสรุป: จากจุฬาฯ สู่โลกที่มีสุขภาพดีกว่า

การดำเนินงานผ่านศูนย์ EID และ ChulaVRC ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แสดงให้เห็นว่าการทำงานร่วมกันข้ามพรมแดนและข้ามสาขาสามารถสร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ได้—จากการปกป้องสุขภาพของชุมชนท้องถิ่น การเสริมความมั่นคงทางสุขภาพของชาติ ไปจนถึงการกำหนดมาตรฐานสากลที่ปกป้องสุขภาพของมนุษยชาติ

การทำงานเชิงรุกและการสร้างหุ้นส่วนความร่วมมือนี้สนับสนุน SDG ข้อที่ 3 (สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี) และ SDG ข้อที่ 17 (ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน) อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อสร้างโลกที่มีสุขภาพดีและเท่าเทียมกันสำหรับทุกคน

ที่มา

  • ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
  • ศูนย์วิจัยวัคซีน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

อื่นๆ

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกับความร่วมมือเพื่อการพัฒนาเมืองและที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมอย่างยั่งยืน

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยให้ความสำคัญกับการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืนและการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยทำงานร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่น ภาครัฐ และภาคเอกชนในการวางแผนและพัฒนาเมืองอย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างชุมชนเมืองที่น่าอยู่และเท่าเทียม มหาวิทยาลัยใช้ศักยภาพทางวิชาการและงานวิจัยเพื่อสนับสนุนการกำหนดนโยบาย กลไกการบริหารจัดการพื้นที่ และนวัตกรรมที่ส่งเสริมการพัฒนาเมืองในมิติสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล

จุฬาฯ หวังเพิ่มประชากรเต่าทะเล หนุนตั้งเครือข่ายคุ้มครองแหล่งวางไข่ในอ่าวไทย

จำนวนเต่าทะเลในประเทศไทยลดลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 แม้รัฐบาลจะประกาศใช้กฎหมาย กำหนดเขตหวงห้าม ประกาศขึ้นทะเบียนเต่าทะเลในบัญชีรายชื่อของอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งพันธุ์พืชป่าและสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ (CITES) และพยายามสำรวจและศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งอาศัยของเต่าทะเล เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ในการอนุรักษ์เต่าทะเลก็ตาม แต่จำนวนของเต่าทะเลในประเทศไทยยังคงลดลงจนใกล้ถึงจุดวิกฤต จากจำนวนมากกว่า 2,500 รังต่อปี เมื่อ 50 ปีที่แล้ว ปัจจุบันเหลือเพียงปีละ 300-400 รังต่อปี เท่านั้น

จังหวัดชลบุรีมั่นใจ ศูนย์เรียนรู้ธนาคารปูม้าเกาะสีชังอุ้มประมงชายฝั่งยั่งยืนทุกมิติ

วัตถุประสงค์หลักเพื่อพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยีการเพาะพันธุ์ปูม้าแบบฟาร์มบนบก ช่วยเพิ่มอัตราการรอดของลูกพันธุ์ปูม้าจากการสลัดไข่ของแม่ปูม้า ซึ่งกลุ่มชาวประมงเรือเล็กหรือชาวประมงพื้นบ้านจะนำแม่ปูม้าที่มีไข่ติดกระดองมาฝากไว้ที่ศูนย์เรียนรู้ธนาคารปูม้าบนบกเพื่อให้ไข่ฟักตัวเป็นลูกปูม้าวัยอ่อนแทนที่จะนำออกขายทันที

หลักสูตรความรู้และการจัดกิจกรรมรณรงค์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในเรื่องของผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีความรุนแรงขึ้นในปัจจุบันได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของผู้คน ทั้งในแง่ของการเกิดพิบัติภัยจากสภาพอากาศที่รุนแรงโดยตรง และภัยพิบัติอื่น ๆ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ประชาคมโลกได้ทุ่มเทความพยายามอย่างมากในการแก้ไข จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในฐานะสถาบันการศึกษาที่มีส่วนร่วมและเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้

ไอคอน PDPA

เราใช้คุกกี้เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของคุณ (ตั้งค่า)

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

Accept All
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • Necessary cookies
    เปิดใช้งานตลอด

    Necessary cookies are essential for the functioning of the website, allowing you to use and browse the site normally. You cannot disable these cookies in our website's system.

  • คุกกี้วิเคราะห์เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การใช้งาน

    คุกกี้เหล่านี้ใช้เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งานเว็บไซต์ เช่น จำนวนผู้เข้าชม, หน้าเว็บที่ได้รับความนิยม และพฤติกรรมการท่องเว็บ ซึ่งช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์ปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ได้

  • คุกกี้การทำงานเพื่อจดจำการตั้งค่าผู้ใช้

    คุกกี้เหล่านี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานเว็บไซต์ โดยจดจำการตั้งค่าที่ผู้ใช้เคยกำหนดไว้ เช่น ชื่อผู้ใช้, ภาษา, ภูมิภาค หรือการปรับแต่งเว็บไซต์ตามความต้องการ

Save