กรณีศึกษา

เปิดเบื้องหลังความสำเร็จบนเส้นทางแห่งการพัฒนาวัคซีนจุฬาฯ

ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางการวิจัยและพัฒนาวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Chula VRC) ก่อตั้งขึ้นในปี 2560 มีความมุ่งมั่นที่จะสร้างความเสมอภาคทางด้านวัคซีนให้เกิดขึ้นได้จริง ซึ่งถือเป็นภารกิจในระดับนานาชาติ โดยมีพันธกิจในการวิจัย และพัฒนาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ และมีความปลอดภัย ในราคาที่สามารถเข้าถึงได้ โดยเฉพาะในงานด้านการป้องกันโรคติดเชื้อและโรคไม่ติดเชื้อชนิดต่าง ๆ ได้แก่ เอชไอวี (Human immunodeficiency virus, HIV) โรคไข้เลือดออกชนิดเดงกี่ (Dengue) โรคฉี่หนู (Leptospirosis) และภูมิแพ้ไรฝุ่นในบ้าน  (House dust mite) ซึ่งมีงานวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์เพื่อเผยแพร่สู่สาธารณะไปแล้วมากกว่า 19 ฉบับ นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือกับหน่วยงานภายในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยทั้งกับคณะเภสัชศาสตร์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ และคณะวิทยาศาสตร์ มีความร่วมมือในการวิจัยระหว่างมหาวิทยาลัยภายในประเทศ ได้แก่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี รวมทั้งการทำงานร่วมกับภาคีเครือข่ายการวิจัยวัคซีนระหว่างประเทศ ได้แก่ Vaccine Research Center (VRC) National Institute of Allergy and Infectious Diseases (NIAID) National Institute of Health (USA); Department of Adjuvant and Antigen Research, U.S., Military HIV Research Program (MHRP) และ Walter Reed Army Institute of Research (WRAIR) จึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจว่าในกระบวนการพัฒนาวัคซีนที่ปกติแล้วเคยใช้เวลานานนับสิบปี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสามารถพัฒนาแต่ละขั้นตอนให้สำเร็จได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการพัฒนาวัคซีน “ChulaCov19”

ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม

ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม ผู้อำนวยการบริหารโครงการกล่าวว่า “การพัฒนาวัคชีน ChulaCov19 ได้รับการสนับสนุนจากทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน อาทิ สถาบันวัคซีนแห่งชาติ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเงินบริจาคจากสมาคมศิษย์เก่าคณะแพทย์จุฬาฯ กองทุนบริจาควิจัยวัคซีน สภากาชาดไทย”

ในประเทศที่มีรายได้น้อยจนถึงปานกลางมักประสบกับปัญหาการเข้าถึงวัคซีนที่ล่าช้าและมีอย่างจำกัดในช่วงที่มีโรคระบาดใหญ่ การกระจายวัคซีนจึงควรคำนึงถึงผลประโยชน์ของสาธารณะเป็นหลัก มากกว่าผลประโยชน์ทางการตลาด ซึ่งถือเป็นความท้าทายในการแก้ปัญหาความเลื่อมล้ำของการเข้าถึงวัคซีน ดังนั้นการสร้างความสามารถในการพัฒนาและผลิตวัคซีนให้ได้เองภายในประเทศจึงเป็นเรื่องสำคัญ และเมื่อเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 ขึ้น ทาง ChulaVRC จึงได้มีการทำงานร่วมกับ Prof.Drew Weissman แห่งมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย ซึ่งเป็นผู้พัฒนาเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิตวัคซีน mRNA เพื่อพัฒนาวัคซีนต่อโรคโควิด-19 ให้เกิดขึ้นภายในประเทศ โดยใช้ชื่อว่า “ChulaCov19” ซึ่งพบว่าสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีในสัตว์ทดลอง นำไปสู่การสนับสนุนจากสถาบันวัคซีนแห่งชาติและสาธารณชนเพื่อเริ่มการวิจัยในมนุษย์ระยะที่ 1 ซึ่งได้ทำข้อตกลงกับ CMOs สหรัฐอเมริกา เพื่อเป็นฐานการผลิตวัคซีน ChulaCov19 ที่ใช้สำหรับการวิจัยในมนุษย์ระยะที่ 1 ซึ่งโครงการวิจัยนี้ได้เริ่มต้นหลัง Pfizer และ Moderna เพียง 1 เดือนเท่านั้น แต่เนื่องจากต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ เช่น ปัญหาในการขออนุญาต การแข่งขันกันในเรื่องของการจองสถานที่ผลิต เงินทุนสนับสนุน การตรวจสอบคุณภาพ  การล็อกดาวน์ การได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ จนในที่สุดได้เริ่มการวิจัยในมนุษย์ระยะที่ 1 ในเดือนมิถุนายน 2564 ซึ่งในตอนนั้นวัคซีน Pfizer และ Moderna ได้รับการอนุมัติให้ใช้ในมนุษย์ได้ในเดือนสิงหาคม 2564 อย่างไรก็ตามวัตถุประสงค์ของโครงการนี้ก็เพื่อสร้างความสามารถในการผลิตวัคซีนชนิด mRNA ให้เกิดขึ้นได้ในเมืองไทย เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือโรคระบาดที่อาจเกิดขึ้นได้ในครั้งถัดไป และการแก้ปัญหาความเลื่อมล้ำในการเข้าถึงวัคซีนที่ยังคงไม่ได้รับการแก้ไข้ให้ดีเท่าที่ควร ซึ่งผลการวิจัยวัคซีน ChulaCov19 ในมนุษย์ระยะที่ 1 และ 2 ซึ่งยังคงใช้วัคซีนล็อตที่ผลิตในสหรัฐอเมริกา พบว่า วัคซีน ChulaCov19 มีความปลอดภัย และสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีมาก ซึ่งนายกรัฐมนตรีของไทยในขณะนั้นได้เดินทางมาเยี่ยมชมการดำเนินงานของโครงการวิจัยนี้ในเดือนสิงหาคม 2564 และได้ให้ทุนวิจัยจำนวน 2.3 พันล้านบาท สำหรับการผลิตวัคซีน และการวิจัยในมนุษย์ในระยะต่อไป จึงเป็นจุดเริ่มต้นในการผลิตวัคซีน ChulaCov19 ขึ้นภายในประเทศไทยเอง โดยร่วมมือกับบริษัท BioNet-Asia เพื่อเป็นฐานการผลิตในประเทศไทย จนในที่สุดสามารถผลิตวัคซีนที่มีคุณภาพเหมือนกับวัคซีน ChulaCov19 ที่ผลิตโดยใช้โรงงานในประเทศสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยผลการวิจัยในมนุษย์ระยะที่ 1 และ 2 ทั้งในประเทศไทย และออสเตรเลีย พบว่าสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีมาก

แต่เนื่องด้วยไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคโควิด-19 มีการกลายพันธุ์ที่รวดเร็ว และมีการระบาดของไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนเข้ามาแทนที่สายพันธุ์เดิม ทางโครงการวิจัยจึงได้คิดค้นวัคซีนรุ่นที่ 2 ออกมา ซึ่งเป็นวัคซีนไบวาเลนซ์ (bivalent) ที่มี mRNA ของทั้งสายพันธุ์ดั้งเดิมและสายพันธุ์โอมิครอนรวมอยู่ในเข็มเดียว ซึ่งการพัฒนาวัคซีนรุ่นที่ 2 นั้น เป็นไปอย่างรวดเร็วมาก เนื่องจากมีความพร้อมในทุกด้านเพิ่มมากขึ้น โดยวัคซีนรุ่นที่ 2 นี้มีชื่อว่า Comvigen (WT/BA.4/.5) ซึ่งในปัจจุบันกำลังอยู่ในขั้นตอนการวิจัยในมนุษย์ ระยะที่ 2 ซึ่งได้ทำการศึกษาทั้งในประเทศไทยและออสเตรเลีย ในอาสาสมัครรวมกันทั้งหมดจำนวน 520 ราย ซึ่งได้เริ่มการศึกษาไปแล้วเมื่อเดือนตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา เป้าหมายใหญ่ของพวกเราคือการเตรียมความพร้อมของประเทศในการสร้างวัคซีนที่มีประสิทธิภาพเพื่อต่อสู้กับโรคระบาดที่อาจเกิดขึ้นได้อีกในอนาคตให้เป็นไปได้ด้วยความรวดเร็วยิ่งขึ้น และเข้าร่วมกับ WHO mRNA vaccine hub เพื่อให้มีการกระจายวัคซีนไปสู่ประเทศที่มีรายได้น้อยและรายได้ปานกลางได้อย่างทันท่วงที นอกจากนี้ทาง ChulaVRC ยังคงศึกษาการพัฒนาวัคซีนต่อโรคอื่น ๆ ด้วย เช่น วัคซีนไข้เลือดออก วัคซีนมะเร็งปากมดลูก (HPV) วัคซีนวัณโรค วัคซีนภูมิแพ้ และวัคซีนมะเร็ง ซึ่งในขณะนี้ ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม ได้เป็นที่ปรึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ของศูนย์ WHO mRNA vaccine tech transfer hub ซึ่งเป็นศูนย์กลางในการถ่ายทอดเทคโนโลยีวัคซีน mRNA ของ WHO เพื่อสร้างความเสมอภาคทางด้านวัคซีนสำหรับรองรับโรคระบาดในอนาคตให้กับกลุ่มประเทศที่มีรายได้น้อยและรายได้ปานกลาง

โดยสรุป โครงการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ของ ChulaVRC ถือเป็นการสร้างศักยภาพด้านการวิจัยและพัฒนาการผลิตวัคซีนชนิด mRNA ให้เกิดขึ้นจริงในประเทศไทย ผ่านความร่วมมือหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชน ทั้งภายในและต่างประเทศ โดยเฉพาะความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษากับภาคเอกชน การหาทุนสนับสนุน การจัดการทุนวิจัยในระดับพันล้านบาท และการขับเคลื่อนโครงการตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ เพื่อให้เกิดความพร้อมในการรับมือการระบาดใหญ่ และเกิดความเสมอภาคด้านวัคซีน จึงถือเป็นความสำเร็จที่โดดเด่น และส่งผลดีต่อผู้คนหลายล้านคนทั่วโลก ซึ่งการวิจัยและพัฒนาวัคซีน mRNA ในครั้งนี้ทำให้มั่นใจได้ว่าประเทศไทยมีความพร้อมที่จะรับมือโรคระบาดใหญ่ในอนาคตได้ดีขึ้น และทุกคนสามารถเข้าถึงวัคซีนที่อาจช่วยชีวิตนี้ได้ โดยไม่ได้คำนึงถึงรายได้หรือที่อยู่อาศัย

ที่มา

  • ศูนย์วิจัยวัคซีน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

อื่นๆ

การดำเนิการตามแนวพระราชดำริ: ส่งต่อความหลากหลายทางระบบนิเวศสู่คนรุ่นหลัง

“การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติไม่ได้หมายถึงการเก็บเอาไว้ไม่ให้ใครเข้าถึง แต่หมายถึงการรักษาไว้อย่างยั่งยืนเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม”

CU Innovation Hub: เสริมพลังขับเคลื่อน Start-ups พลิกโฉมอนาคตสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

ศูนย์กลางนวัตกรรมแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 มุ่งหวังให้เป็นหน่วยงานในการสนับสนุนและเร่งสร้าง Start-ups ที่มีคุณภาพ ตอบสนองนโยบาย Thailand 4.0 และเพื่อพัฒนากำลังคนที่มีทักษะและความสามารถในการคิดเชิงนวัตกรรม รวมทั้งการเป็นศูนย์กลางการสร้างนวัตกรรมที่ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม โดยเชื่อมโยงงานวิจัย เทคโนโลยี สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญา และการบ่มเพาะธุรกิจ Startup สู่ตลาดจริง

รื้อถอนแท่นปิโตรเลียมกลางอ่าวไทยอย่างไร ให้ความหลากหลายทางชีวภาพในท้องทะเลไทยยังคงอยู่

เร่งสร้างองค์ความรู้ให้เพียงพอและพร้อมใช้นำมาบริหารจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมทางทะเลนอกชายฝั่งอ่าวไทย โดยเฉพาะในกระบวนการวางแผนหาแนวทางที่เหมาะสม และตัดสินใจเชิงนโยบายที่เกี่ยวกับกิจกรรมการรื้อถอนแท่นปิโตรเลียมในอ่าวไทย

จุฬาฯ กับการพัฒนาที่ยั่งยืนครั้งใหญ่ ใน Chula Sustainability Fest 2022

ในปี 2022 ผลงานที่มีส่วนในการสร้างความยั่งยืนของจุฬาฯ จะไม่อยู่แค่ใน SDGs Report แต่ได้ออกมาสื่อสารในงาน Chula Sustainability Fest 2022 เมื่อวันที่ 2-4 กันยายน 2565 เพื่อสร้าง Commitment สื่อสารนโยบายการพัฒนาที่ยั่งยืนของจุฬาฯ Connect เชื่อมโยงประชาคมจุฬาฯ และ Inspired สร้างแรงบันดาลใจให้ช่วยกันผลักดันการพัฒนาที่ยั่งยืน

ไอคอน PDPA

เราใช้คุกกี้เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของคุณ (ตั้งค่า)

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

Accept All
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • Necessary cookies
    เปิดใช้งานตลอด

    Necessary cookies are essential for the functioning of the website, allowing you to use and browse the site normally. You cannot disable these cookies in our website's system.

  • คุกกี้วิเคราะห์เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การใช้งาน

    คุกกี้เหล่านี้ใช้เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งานเว็บไซต์ เช่น จำนวนผู้เข้าชม, หน้าเว็บที่ได้รับความนิยม และพฤติกรรมการท่องเว็บ ซึ่งช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์ปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ได้

  • คุกกี้การทำงานเพื่อจดจำการตั้งค่าผู้ใช้

    คุกกี้เหล่านี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานเว็บไซต์ โดยจดจำการตั้งค่าที่ผู้ใช้เคยกำหนดไว้ เช่น ชื่อผู้ใช้, ภาษา, ภูมิภาค หรือการปรับแต่งเว็บไซต์ตามความต้องการ

Save