กรณีศึกษา

ภารกิจฟื้นฟูป่าเสื่อมโทรม “บ้านก้อแซนด์บ๊อกซ์” เพิ่มประสิทธิภาพ การฟื้นฟูป่าไม้วงศ์ยางในประเทศไทย

แม้ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ปริมาณพื้นที่ป่าไม้ของประเทศไทยจะยังคงทรงตัวอยู่ในช่วงร้อยละ 31-33 ตามรายงานจากสำนักจัดการที่ดินป่าไม้ กรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แต่ประเทศไทยยังคงให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมโดยได้กำหนดไว้ในแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ.2561-2580) วางเป้าหมายที่จะรักษาผืนป่าของไทยให้มีพื้นที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 40 ของพื้นที่ทั้งประเทศ โดยมุ่งฟื้นฟูผืนป่าเศรษฐกิจและจัดการนิเวศป่าชุมชนที่มีอยู่ทั่วประเทศกว่า 10,000 แห่ง ทั้งที่อยู่นอกเขตและในเขตพื้นที่อนุรักษ์ บนพื้นที่มากกว่า 7,870,000 ไร่ ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 7 ของพื้นที่ป่าไม้ในประเทศไทย

ในปี พ.ศ.2561-2562 พื้นที่ป่าไม้ในประเทศไทยมีอยู่ทั้งสิ้น 102,484,072.71 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 31.68 ของพื้นที่ทั้งหมดของประเทศ โดยไฟป่ายังคงเป็นภัยคุกคามของทรัพยากรป่าไม้ไทย ทั้งไฟป่าที่เกิดขึ้นทั่วประเทศจากสภาพอากาศที่แห้งแล้งและไฟป่าที่เกิดจากการลักลอบเผาป่าเพื่อใช้ประโยชน์ ตามรายงานของศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่ามีพื้นที่ป่าไม้ทั่วประเทศไทยถูกเผาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2562 จนถึงเดือนเมษายน 2563 แล้ว รวมทั้งสิ้น 170,835 ไร่ ซึ่งในจำนวนนี้กว่า 3 ใน 4 เป็นพื้นที่ป่าในเขตภาคเหนือ ซึ่งสาเหตุสำคัญของการลักลอบเผาป่าชุมชนมาจากเรื่องปัญหาปากท้องของคนในชุมชนละแวกใกล้เคียง ประกอบกับความเชื่อดั้งเดิมของคนพื้นถิ่นที่ว่า “ยิ่งเผา เห็ดยิ่งขึ้น” จึงสะท้อนปัญหาการลักลอบเผาป่าชุมชนให้กลายเป็นปัญหาเรื้อรังระดับชาติสั่งสมต่อเนื่องมาอย่างยาวนานนับสิบปี

ปัญหาป่าชุมชนถูกเผาเป็นส่วนหนึ่งของการเร่งเร้าให้ภาวะโลกร้อนทวีความรุนแรงขึ้น ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อการฟื้นฟูป่าให้ทำได้ยากเนื่องด้วยเพราะความชื้นและธาตุอาหาร รวมไปถึงเชื้อจุลินทรีย์พื้นถิ่นในดินตามธรรมชาติได้ถูกทำลายไปพร้อมกับไฟป่าจนหมดสิ้นแล้วเท่านั้น แต่การลักลอบเผาป่าชุมชนยังสร้างปัญหาการแพร่กระจายของฝุ่นจิ๋ว PM 2.5 ในชั้นบรรยากาศกลายเป็นหมอกควันพิษให้กลับมาทำลายสุขภาวะของคนในพื้นที่เองอีกด้วย

การฟื้นฟูป่าชุมชนเสื่อมโทรมให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ได้อีกครั้งจึงจำเป็นต้องเริ่มจากการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรมโดยเริ่มจากผืนดินเป็นอันดับแรก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยภาควิชาพฤกษศาสตร์คณะวิทยาศาสตร์ ในฐานะหน่วยงานที่มีองค์ความรู้ทางด้านจุลินทรีย์ในดินจึงศึกษา วิจัย และพัฒนาแนวทางการฟื้นฟูป่าชุมชนให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ได้จริงอีกครั้งอย่างรวดเร็ว จึงดำเนินโครงการวิทยาเพื่อพื้นถิ่น ซึ่งริ่เริ่มขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 ศึกษาวิจัยความหลากหลายของเห็ดราไมคอร์ไรซาในป่าเต็งรังและประยุกต์ใช้ฟื้นฟูป่าต้นน้ำจังหวัดน่าน โดยทดลองนำเชื้อราไมคอร์ไรซาและจุลินทรีย์ท้องถิ่นชนิดต่าง ๆ มาผสมในดินและกล้าไม้พื้นถิ่นของจังหวัดน่านในกลุ่มไม้วงศ์ยาง เช่น ยางนา เต็ง รัง เหียง พลวง เป็นต้น เพื่อเพิ่มปริมาณจุลินทรีย์ในดิน และยังช่วยเพิ่มอัตราการการรอดหลังย้ายปลูกทำให้พืชเจริญเติบโตได้ดี มีความแข็งแรงทนทานต่อสภาวะที่ไม่เอื้อให้ดำรงชีวิต ซึ่งแนวทางนี้เป็นการเพิ่มพื้นที่ป่าไม้พื้นถิ่นตามธรรมชาติโดยคำนึงถึงระบบนิเวศดั้งเดิมและความเหมาะสมตามหลักนิเวศวิทยาอีกด้วย

จากความสำเร็จของโครงการฯ ที่สามารถพัฒนากล้าไม้พื้นถิ่นที่มีราไมคอร์ไรซา จุฬาลงการณ์มหาวิทยาลัยจึงขยายผลงานวิจัย ผลิตกล้าไม้คุณภาพนำแจกจ่ายให้หน่วยงานต่าง ๆ ในจังหวัดน่านเพื่อร่วมกันฟื้นฟูป่าต้นน้ำ และขยายผลต่อยอดการดำเนินงานไปยังพื้นที่ป่าชุมชนกว่า 3,000 ไร่ ใน โครงการจัดตั้งสำนักงานจัดการพื้นที่จุฬาฯ-สระบุรี อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี พัฒนาขึ้นเป็นโครงการต้นแบบ “การประยุกต์ใช้เห็ดไมคอร์ไรซาในการปลูกป่าไม้วงศ์ยางเพื่อฟื้นฟูป่าและระบบนิเวศ” และได้รับการสนับสนุนทุนจากสำนักงานวิจัยแห่งชาติ (วช.) เพื่อจัดอบรมถ่ายทอดองค์ความรู้ให้หน่วยงานภาครัฐ ชุมชน และประชาชนที่สนใจ ในปี พ.ศ. 2560

ต่อมาในปี พ.ศ. 2561 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยังได้ขยายองค์ความรู้ฟื้นฟูป่าพื้นถิ่นไปสู่พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ของไทย โดยได้รับทุนสนับสนุนจากหน่วยงานระดับนานาชาติ “The Mushroom Initiative Limited, Hong Kong” พัฒนาโครงการ “การใช้ราไมคอร์ไรซาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปลูกไม้ป่าพื้นถิ่นของไทย” โดยมีภาคีเครือข่ายสำคัญอย่างมูลนิธิฟื้นฟูป่าพื้นถิ่นในการรณรงค์ปลูกป่าพื้นถิ่นร่วมจัดอบรมถ่ายทอดองค์ความรู้ให้หน่วยงานภาครัฐ ชุมชน ประชาชน สร้างแปลงสาธิตการใช้ราไมคอร์ไรซาฟื้นฟูป่าพื้นถิ่นทั้งในจังหวัดหนองบัวลำภูซึ่งได้รับความร่วมมือจากองค์การบริหารส่วนตำบลอุทัยสวรรค์ อำเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลำภู และพื้นที่โรงเรียนบ้านคลองยางและชุมชนตำบลคลองยาง อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ เกิดเป็นภาคีเครือข่ายผนึกกำลังกันอย่างเข้มแข็งโดยมี “The Mushroom Initiative Limited, Hong Kong” เป็นพันธมิตรร่วมภารกิจขยายผลไปยังพื้นที่ใหม่อีก 10 แห่งทั่วประเทศไทยและอีก 1 พื้นที่ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) โดยได้จัดเตรียมข้อมูลที่จำเป็นประกอบการติดตามไม้พื้นถิ่นที่ปลูกไว้ในแต่ละพื้นที่เพื่อประเมินและรับมือกับภัยแล้งรุนแรงที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ผ่านการพัฒนาช่องทางประชาสัมพันธ์ที่ให้ประชาชนผู้สนใจสามารถเข้าถึงองค์ความรู้ได้ง่ายหลายช่องทาง อาทิ เว็บไซต์ Facebook เป็นต้น

ตลอดการดำเนินโครงการฯ ในช่วง 3 ปี ที่ผ่านมา พบว่ากล้าไม้พื้นถิ่นที่ปลูกไว้เจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์ดีทั้งปริมาณความชื้นและแสงแดดที่เหมาะสมกับระบบนิเวศในพื้นที่ และยังช่วยลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศอันมีสาเหตุมาจากภาวะโลกร้อน นำมาสู่การดำเนินงานในปี พ.ศ. 2562 จนถึงปัจจุบันที่ได้รับการสนับสนุนจากภาคีเครือข่าย “ชมรมผู้ได้รับพระราชทานทุนมูลนิธิอนันทมหิดล” ร่วมกับ “กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม” เพื่อนำความสำเร็จที่ได้กลับมาแก้ปัญหาหมอกควัน PM2.5 ในพื้นที่ภาคเหนือจากการเผาป่าในพื้นที่สำคัญ 2 แห่ง ได้แก่ พื้นที่ป่าอำเภอลี้ จังหวัดลำพูน และเขตอุทยานแห่งชาติแม่ปิง ภายใต้โครงการ “นวัตกรรมเห็ดเผาะลดไฟป่าหมอกควัน สร้างป่า…สร้างรายได้” สร้างความรู้ความเข้าใจ และส่งเสริมให้ประชาชนในพื้นที่ตระหนักถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากไฟป่า พร้อมถ่ายทอดองค์ความรู้จากต้นแบบความสำเร็จของงานวิจัยการใช้ราไมคอร์ไรซาที่สามารถสร้างดอกเห็ดที่กินได้ อาทิ เห็ดเผาะ เห็ดตะไค เห็ดระโงก เห็ดน้ำหมาก รวมถึงเห็ดป่าอื่น ๆ นำมาใช้ฟื้นฟูป่าที่นอกจากจะได้ความหลากหลายทางชีวภาพกลับมาแล้วยังได้เห็ดที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ สร้างรายได้ใหม่ให้ครัวเรือนได้อีกด้วย ถือเป็นกุศโลบายสร้างแรงจูงใจให้คนในพื้นที่หันมาใช้ไม้พื้นถิ่นร่วมกันฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าได้อย่างยั่งยืน

จากความสำเร็จที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ส่งต่อความยั่งยืนนี้ไปสู่ กองทัพภาคที่ 2 กองบัญชาการกองทัพไทย นำองค์ความรู้การใช้ราไมคอร์ไรซาฟื้นฟูป่าพื้นถิ่นภายใต้โครงการทหารพันธุ์ดี ณ ศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตำบลหนองไผ่ล้อม อำเภอเมืองฯ จังหวัดนครราชสีมา เพื่อส่งเสริมเกษตรกรรม ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม และพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กำลังพลภายในหน่วยสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปถ่ายทอดให้กับประชาชนที่สนใจนำราไมคอร์ไรซามาใช้เพาะพันธุ์กล้าไม้ตามแนวทางที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยพิสูจน์ทราบแล้ว

จากความมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมตลอดกว่าทศวรรษที่ผ่านมาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและภาคีเครือข่าย ไม่เพียงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะพันธุ์ไม้พื้นถิ่นให้มีความแข็งแรงทนต่อภัยคุกคามทางชีวภาพและสภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลต่อการดำรงชีวิตของพืชเท่านั้น แต่ยังช่วยลดทอนระยะเวลาการฟื้นตัวตามธรรมชาติของผืนป่าในประเทศไทยให้สั้นลงเหลือเพียง 30-40 ปี จากเดิมที่คาดการกันว่าอาจต้องใช้เวลานานกว่าศตวรรษที่ป่าจะกลับมาอุดมสมบูรณ์ได้อีกครั้ง สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ.2561-2580)  ที่ประเทศไทยวางเป้าหมายรักษาผืนป่าไว้ให้ได้ถึงร้อยละ 40 และยังเป็นแนวทางที่สามารถนำไปช่วยฟื้นฟูป่าพื้นถิ่นที่ประสบปัญหาไฟป่ารุนแรงทั่วโลกได้อีกด้วย  

ภารกิจฟื้นฟูป่าเสื่อมโทรม “บ้านก้อแซนด์บ๊อกซ์” เพิ่มประสิทธิภาพการฟื้นฟูป่าไม้วงศ์ยางในประเทศไทย

โครงการ “การใช้ราไมคอร์ไรซาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการฟื้นฟูป่าไม้ประจำถิ่นในประเทศไทย” ได้เข้ามามีส่วนร่วมในโครงการ “บ้านก้อแซนด์บ๊อกซ์” ในส่วนของการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าที่เสื่อมโทรมจากการถูกไฟป่าทำลายรวมทั้งการปลูกป่าไม้พื้นถิ่นด้วยการใช้ราไมคอร์ไรซา โครงการนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องและความมีส่วนร่วมของการอนุรักษ์และอยู่กับป่าอย่างยั่งยืนให้แก่คนในชุมชน ประกอบด้วยกิจกรรมต่างๆที่จะดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังนี้

1. กิจกรรมการอบรมเชิงบรรยายและปฏิบัติการเรื่อง  “นวัตกรรมเห็ดเผาะลดไฟป่าหมอกควัน สร้างป่า…สร้างรายได้” โดยได้รับการสนับสนุนจากชมรมผู้ได้รับพระราชทานทุนฯ และอุทยานแห่งชาติแม่ปิง จังหวัดลำพูน กิจกรรมนี้ประกอบไปด้วยการอบรมให้ความรู้ความเข้าใจแก่ชุมชน รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับราไมคอร์ไรซ่า โดยเฉพาะ เห็ดเผาะและเห็ดป่าอื่นที่มีความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยกับไม้ป่าพื้นถิ่นในป่า

2. กิจกรรมการฟื้นฟูป่าพื้นถิ่นเพื่อการอนุรักษ์ในเขตอุทยานด้วยราไมคอร์ไรซาเห็ดเผาะ กิจกรรมนี้จะเป็นกิจกรรมที่เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแม่ปิง ชาวบ้านในชุมชน รวมทั้งหน่วยงานราชการในอำเภอลี้ จ.ลำพูน ร่วมกันการปลูกป่าในพื้นที่นำร่องการจัดใช้มาตรา 64 ตามพรบ. อุทยานแห่งชาติ ปี พ.ศ. 2562 เพื่อเป็นการเร่งให้การพื้นฟูป่าในอุทยานแห่งชาติแม่ปิงประสบผลสำเร็จและเป็นบริหารจัดการพื้นที่ป่าอย่างยั่งยืน จนสามารถเป็นต้นแบบในการฟื้นป่าอนุรักษ์ในเขตอุทยานแห่งชาติอื่นๆในอนาคต โดยจะทำการปลูกพรรณไม้ที่เป็นม้พื้นถิ่นเสริมแทรกเข้าไปในพื้นที่ดังกล่าวให้มีหลากหลายของพรรณไม้พื้น โดยเฉพาะไม้ที่เป็นไม้เด่นของป่าเต็งรัง พร้อมกับใส่หัวเชื้อราไมคอร์รซาเห็ดเผาะให้กับกล้าไม้ก่อนย้ายปลูก

3. กิจกรรมการสร้างแปลงสาธิตไม้ป่าพื้นถิ่นต้นแบบเสริมสร้างความมั่นคงทางด้านอาหารและรายได้อย่างยั่งยืน  โดยทำแปลงสาธิตต้นแบบในพื้นที่ของชาวบ้านก้อ ประมาณ 3ไร่ เพื่อทดลองการปลูกพืชแบบวนเกษตรมีการปลูกไม้ป่าพื้นถิ่นที่เป็นอาหารและสร้างรายได้ให้แก่เจ้าของพื้นที่ ซึ่งได้แก่ พืชอาศัยของเห็ดเผาะ เช่น พลวง เต็ง รัง เหียง เป็นต้น ผักหวานป่า ไผ่ และพืชสมุนไพรต่างๆ รวมทั้งพืชเกษตรที่สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรนอกเหนือจากข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่เคยปลูกอยู่เป็นประจำ เช่น องุ่น หน่อไม้ฝรั่ง ทุเรียน เป็นต้น กิจกรรมนี้จะเป็นตัวอย่างที่จะฃ่วยชาวบ้านมีรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืน จะสามารถลดการบุกรุกและรบกวนพื้นที่ป่าในเขตอุทยานได้

4. กิจกรรมการฟื้นฟูป่าชุมชนเสื่อมโทรมด้วยราไมคอร์ไรซาเห็ดเผาะ กิจกรรมนี้จะเป็นกิจกรรมที่จะฟื้นฟูป่าชุมชนของหมู่บ้านที่อยู่รอบแนวเขตรอยต่อของพื้นที่ป่าของอุทยานแห่งชาติแม่ปิงให้มีความอุดมสมบูรณ์กลับคืน โดยทำงานร่วมกันกับเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแม่ปิง และชาวบ้านก้อดำเนินการใส่หัวเชื้อเส้นใยเห็ดเผาะให้กับพืชอาศัยในป่าชุมชน เช่น เต็ง พลวง เหียง รัง เป็นต้น

นอกจากนี้ ในปี 2564  “โครงการบูรณาการของการใช้เห็ดเผาะเพื่อฟื้นฟูป่าและลด PM 2.5 ที่เกิดจากการเผาป่า ในบริเวณพื้นที่รอยต่ออุทยานแห่งชาติแม่ปิง จังหวัดลำพูน” ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ร่วมกับชมรมผู้ได้รับพระราชทานทุนมูลนิธิอนันทมหิดลและอุทยานแห่งชาติแม่ปิง ทำการฟื้นฟูปลูกป่าทดแทนในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแม่ปิงภายใต้การจัดใช้มาตรา 64 ตาม พ.ร.บ. อุทยานแห่งชาติ ปี พ.ศ. 2562 โดยการใช้กล้าไม้พื้นถิ่นที่มีการใส่เชื้อเห็ดเผาะ เป็นจำนวน 15 ไร่ และได้รับความร่วมมืออย่างดีในการปลูกป่าจากเยาวชนกลุ่ม “หละอ่อนก้ฮักฮักถิ่นเกิด” ซึ่งเป็นบุตรหลานของชาวบ้านที่มีใจรักถิ่นบ้านเกิดและต้องการให้สภาพแวดล้อมที่ดีกลับคืนมาเยาวชนกลุ่มนี้จะเป็นกำลังสำคัญในการอนุรักษ์ฟื้นฟูป่า การเฝ้าระวังติดตามไฟ่ป่าที่จะเกิดขึ้นในอุทยานแห่งชาตแม่ปิง โดยทำงานประสานกับเจ้าหน้าที่อุทยานและหน่วยงานต่างๆในชุมชน นับว่าเป็นหนึ่งในการปลูกจิตสำนึกให้กับเยาวชนในการหวงแหนและอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ที่มีอยู่ในท้องถิ่นของตนอันจะนำมาซึ่งความยั่งยืนและความมั่นคงทั้งด้านอาหาร รายได้ และสิ่งแวดล้อมที่ดีในอนาคต

ที่มา:

คณะวิทยาศาสตร์  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

บทความที่เกี่ยวข้องฉบับก่อนหน้า:

รายละเอียดที่เกี่ยวข้อง:

อื่นๆ

จุฬาฯ ผนึกกำลังชุมชน ติวน้อง “ละอ่อนสารักษ์ป่าน่าน” ใช้ Google Earth Pro กู้ป่าชุมชนเสื่อมโทรม

สถานการณ์ป่าน่านเสื่อมโทรมเป็นปฐมเหตุให้ศูนย์เครือข่ายการเรียนรู้เพื่อภูมิภาค จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลผาสิงห์ อำเภอเมือง และสถานีวิจัยคัดเลือกและบำรุงพันธุ์สัตว์ ตำบลไหล่น่าน อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน ต้องผนึกกำลังกันดำเนินกิจกรรมร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในจังหวัดเพื่อวางแนวทางการพลิกฟื้นผืนป่าสร้างความสมดุลให้กับระบบนิเวศป่าชุมชน “ไหล่น่าน”

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกับความร่วมมือเพื่อการพัฒนาเมืองและที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมอย่างยั่งยืน

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยให้ความสำคัญกับการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืนและการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยทำงานร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่น ภาครัฐ และภาคเอกชนในการวางแผนและพัฒนาเมืองอย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างชุมชนเมืองที่น่าอยู่และเท่าเทียม มหาวิทยาลัยใช้ศักยภาพทางวิชาการและงานวิจัยเพื่อสนับสนุนการกำหนดนโยบาย กลไกการบริหารจัดการพื้นที่ และนวัตกรรมที่ส่งเสริมการพัฒนาเมืองในมิติสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล

เทคโนโลยีราไมคอร์ไรซาเพื่อการปลูกและฟื้นฟูป่าอย่างสร้างสรรค์และยั่งยืน

จากการสำรวจในปี 2564 พบว่ามีพื้นป่าเพียง 31.59% ของพื้นที่ทั้งหมดในประเทศไทย สาเหตุหลักของการลดลงของผืนป่าเกิดจาก ไฟป่า การตัดไม้ทำลายป่าเพื่อการเกษตรและการลักลอบตัดไม้ นอกจากนี้พื้นป่าที่เหลืออยู่ก็อยู่ในสภาพวิกฤต สภาพอากาศที่แห้งแล้งหรือการลักลอบเผาป่าอย่างผิดกฎหมาย ทำให้เกิดไฟป่า ที่นอกจากจะทำให้ผืนป่าลดลงแล้ว การเกิดไฟป่ายังทำลายสุขภาพของประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น

จุฬาฯ ต้าน COVID-19 ด้วยกลยุทธ์หลายมิติ; การวินิจฉัย การรักษา และการฉีดวัคซีน

ในช่วงวิกฤตโรคระบาด COVID-19 ทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้สนับสนุนงานวิจัย การบริการ และนวัตกรรมมากมายแก่สังคมเพื่อฟื้นคืนสถานการณ์ที่ตึงเครียด ซึ่งรวมถึงวิธีการวินิจฉัย แพลตฟอร์มออนไลน์ด้านการดูแลผู้ป่วย (วอร์ดเสมือน) และงานด้านศูนย์บริการวัคซีน

ไอคอน PDPA

เราใช้คุกกี้เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของคุณ (ตั้งค่า)

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

Accept All
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • Necessary cookies
    เปิดใช้งานตลอด

    Necessary cookies are essential for the functioning of the website, allowing you to use and browse the site normally. You cannot disable these cookies in our website's system.

  • คุกกี้วิเคราะห์เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การใช้งาน

    คุกกี้เหล่านี้ใช้เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งานเว็บไซต์ เช่น จำนวนผู้เข้าชม, หน้าเว็บที่ได้รับความนิยม และพฤติกรรมการท่องเว็บ ซึ่งช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์ปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ได้

  • คุกกี้การทำงานเพื่อจดจำการตั้งค่าผู้ใช้

    คุกกี้เหล่านี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานเว็บไซต์ โดยจดจำการตั้งค่าที่ผู้ใช้เคยกำหนดไว้ เช่น ชื่อผู้ใช้, ภาษา, ภูมิภาค หรือการปรับแต่งเว็บไซต์ตามความต้องการ

Save