กรณีศึกษา

CU Innovations for Society ภารกิจกู้วิกฤติโควิด-19 เพื่อคนไทย

ปลายปี 2019 เมื่อโลกถูกเขย่าอย่างรุนแรงด้วยเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ที่แพร่ระบาดกลายเป็นโรคอุบัติใหม่ “โควิด-19” ที่จวบจนทุกวันนี้ยังไม่มีวัคซีนป้องกันและยารักษา ปลุกให้หลายประเทศจำเป็นต้องลุกขึ้นมาออกมาตรการตามแนวทางขององค์การอนามัยโลก (WHO) รับมือกับโรคร้ายนี้เพื่อดูแลประชาชนคนในชาติของตนรวมถึงประเทศไทยของเราด้วย ทั้งมาตรการปิดเมือง ล็อกดาวน์ประเทศ ปิดสนามบิน กำหนดสถานที่กักตัวที่รัฐจัดให้ (State Quarantine & Local Quarantine) กำหนดเวลาเคอร์ฟิวเปิดปิดธุรกิจห้างร้าน รวมถึงมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) หลากหลายรูปแบบควบคู่ไปกับการปรับตัวเข้มงวดและยืดหยุ่นระคนกันไปได้ผลดีมากน้อยแตกต่างกัน โดยหากเจาะลึกลงมาเฉพาะสถานการณ์ในประเทศไทยที่ทั่วโลกต่างประสานเสียงชื่นชมคนไทยจนในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา Global COVID-19 Index (GCI) ยกให้ไทยอยู่ในลำดับที่ 1 ของการฟื้นตัวจากสถานการณ์โรคโควิด-19 ซึ่งสำรวจจาก 184 ประเทศทั่วโลก และปัจจัยที่ทำให้ไทยก้าวมายืนหนึ่งเหนือคนทั้งโลกได้ในยามนี้ นอกจากความสมัครสมานสามัคคีร่วมแรงร่วมใจกันเป็นหนึ่งของทั้งหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา ตลอดจนประชาชนแล้ว คงเป็นนวัตกรรมจากกลุ่มสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ที่ปวารณาตัวอาสาขอนำองค์ความรู้ที่มีมาปรับใช้บูรณาการให้สอดรับกับสถานการณ์เพื่อดูแลคนไทยอย่างสุดความสามารถ

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยศูนย์กลางนวัตกรรมแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CU Innovation Hub) ในฐานะผู้บ่มเพาะสตาร์ทอัพที่พร้อมยกระดับสู่นวัตกรรมเชิงพาณิชย์ในช่วง 3-4 ปีไว้กว่า 180 ทีม จนมีมูลค่าการตลาดสูงถึง 1.5 หมื่นล้านบาท และสร้างกลุ่มผู้ประกอบการหน้าใหม่ไว้อีกกว่า 2,000 ราย เป็นอีกหนึ่งหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญเร่งพัฒนานวัตกรรมนำรับใช้ชาติกู้สถานการณ์โควิด-19 ดูแลคนไทยครบทุกมิติทั้งป้องกัน (Prevent) ปกป้อง (Protect) และรักษา (Cure) ด้วย “นวัตกรรมจุฬาฯ”

เร่งจูนสตาร์ทอัพรับโควิด-19 ปั้น New Service Innovation

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ติดตามและประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดอย่างใกล้ชิดและใช้เวลาไม่ถึงสัปดาห์คัดเลือกสตาร์ทอัพที่มีความพร้อมร่วมภารกิจโดยปรับแพลตฟอร์มที่ดำเนินการอยู่บูรณาการเป็นนวัตกรรมบริการ “Chula COVID-19 Strip Test Service : กระบวนการตรวจภูมิคุ้มกันแบบว่องไว” เปิดให้บริการ ณ ศูนย์บริการสุขภาพจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมีสตาร์ทอัพ 6 ทีมรวมอยู่ในทุกขั้นตอนการให้บริการ อาทิ เป็ดไทยสู้ภัย, Dr.A-Z, RAKSA, QueQ เป็นต้น โดยมี Baiya COVID-19 Strip Test นวัตกรรมเรือธงที่ใช้ตรวจภูมิคุ้มกันว่องไวทราบผลตรวจได้ภายใน 10-15 นาที ผลงานเด่นจากสตาร์ทอัพ “Baiya Phytopharm” ที่ปรับแพลตฟอร์มการผลิต Plant Based Gross Factor ให้เป็นนวัตกรรมรับมือโควิด-19 เพื่อคนไทยในทันทีที่ได้รับการส่งสัญญานให้ร่วมภารกิจนี้ และที่มากไปกว่านั้นนวัตกรรมชุดตรวจภูมิคุ้มกันแบบว่องไวนี้ยังถูกนำไปขยายผลเป็นงานวิจัยที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในวงกว้าง (Actual-Use Research) ที่เอื้อประโยชน์ให้บุคลากรทางการแพทย์ในช่วงโควิด-19 ระบาดทั้งช่วยลดความหนาแน่นของผู้มารับบริการ ณ สถานพยาบาล กระชับเวลาทราบผลตรวจ ลดความเสี่ยงติดเชื้อให้กับบุคลากรทางการแพทย์ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ตรวจ RT-PCR และยังช่วยเพิ่มความมั่นใจให้แพทย์กล้ารักษาเฉพาะด้าน เช่น การผ่าตัดฉุกเฉิน การทำคลอด เป็นต้น

ขยายผลสู่ปัตตานีโมเดล

Chula COVID-19 Strip Test Service ไม่เพียงช่วยคัดกรองผู้ป่วยในเขตเมืองหลวงเพียงเท่านั้น แต่ชุดตรวจภูมิคุ้มกันแบบว่องไวของ Baiya Phytopharm ยังถูกส่งไปใช้ในถิ่นทุรกันดารชายแดนภาคใต้ที่มีความเสี่ยงสูงภายใต้โครงการ “ปัตตานีโมเดล” ช่วยให้การบริหารจัดการพื้นที่กักกันโรคแห่งรัฐระดับจังหวัด (Local Quarantine) ชายแดนไทย-มาเลเซียมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยได้ประสานงานกับระบบสารสนเทศงานสุขภาพภาคประชาชน กองสนับสนุนสุขภาพภาคประชาชน กระทรวงสาธารณสุขให้ช่วยเข้ามาติดตามผลจากผู้ที่เดินทางเข้ามาจากมาเลเซีย ดูแลด้านสุขภาพ ลดความทุกข์ทรมานจิตใจ ลดภาระงานในส่วนพื้นที่กักกันโรคแห่งรัฐระดับจังหวัดพร้อมประเมินสถานการณ์เพื่อนำไปสู่มาตรการคลายล็อกดาวน์ ซึ่งการตรวจวัดระดับภูมิคุ้มของคนในพื้นที่นี้ยังถือเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลกลุ่มตัวอย่างคนไทยมากกว่า 10,000 คน เพื่อใช้ประเมินภาพรวมด้านประชากรศาสตร์ขนาดใหญ่ ดูแนวโน้มระดับภูมิคุ้มกันภายหลังได้รับเชื้อ พร้อมศึกษาพฤติกรรมของโรคโควิด-19 และการแสดงออกของอาการจากโรค ก่อนขยายผลต่อยอดวิจัยพัฒนาวัคซีน ทั้งศึกษาปริมาณวัคซีนที่เหมาะสมต่อบุคคลที่ควรได้รับ ซึ่งก่อนหน้านี้ยังไม่เคยมีการศึกษามาก่อน จึงถือเป็นความสำเร็จจากความร่วมมือทางไกลระหว่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและจังหวัดปัตตานีที่อยู่ห่างไกลกันพันกิโลเมตร ในช่วงเวลากว่า 2 เดือน

ใช้หุ่นยนต์ช่วยเซฟหมอ

นอกจากนี้ จุฬาฯ ภายใต้การสนับสนุนจากสมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (สนจ.) ยังได้ส่งทีมสตาร์ทอัพสายหุ่นยนต์จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ ในชุด “CU RoboCOVID” ทั้ง “น้องปิ่นโต” และ “น้องกระจก” นับร้อยตัวส่งเข้าประจำการช่วยเสริมมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม ลดความเสี่ยงจากการปฏิบัติหน้าที่ให้บุคลากรทางการแพทย์ ช่วยลำเลียงน้ำ อาหาร และยารักษาโรค ส่งให้ผู้ป่วยได้จากทางไกลได้อย่างรวดเร็ว ลดความเสี่ยงในการสัมผัสกับผู้ติดเชื้อ ร่นระยะเวลาในการทำงาน ลดปริมาณการใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) ถุงมือ และหน้ากากอนามัย โดยส่งมอบให้มูลนิธิชัยพัฒนานำไปจัดสรรมอบให้โรงพยาบาลในเครือข่ายกว่า 70 แห่งทั่วประเทศไทย 

เสริมความแข็งแกร่งให้หน้ากากผ้า

โควิด-19 ยังได้สร้างปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมไว้อย่างไม่น่าเชื่อจากปริมาณขยะติดเชื้ออย่างหน้ากากอนามัย สตาร์ทอัพจุฬาฯ “Nabsolute” จึงเร่งพัฒนานวัตกรรมสเปรย์เพิ่มประสิทธิภาพหน้ากากผ้าให้ทดแทนหน้ากากอนามัยที่กำลังขาดแคลนในขณะนั้น ช่วยป้องกันได้ทั้งเชื้อโรคโควิด-19 และฝุ่นจิ๋ว PM2.5 ไปได้พร้อมกันในการฉีดพ่นคราวเดียว ซึ่งต่อมานวัตกรรมนี้ได้รับการจดอนุสิทธิบัตรเทคโนโลยี Shield+ และจับมือกับ Tigerplast ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เวชภัณฑ์ เครื่องสำอาง และเครื่องมือแพทย์ รายใหญ่ของไทย เร่งผลิตป้อนตลาดช่วยเพิ่มทางเลือกและความมั่นใจในช่วงสถานการณ์ที่จำเป็นต้องพึ่งพาหน้ากากป้องกันตนเองของคนไทย

ก้าวต่อไปมุ่งหน้าผลิตวัคซีนเพื่อคนไทย

 จากความสำเร็จของแพลตฟอร์มชุดตรวจโควิดว่องไว (Baiya Rapid Strip Test) ของบริษัท ใบยา ไฟโตฟาร์ม จำกัด ได้พัฒนาต่อยอดสู่การพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด-19 จากใบพืช ด้วยกระบวนการผลิตโมเลกุลโปรตีนลูกผสม (recombinant protein) ซึ่งเป็นชิ้นส่วนของไวรัสที่สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ และนำไปทดสอบในสัตว์ทดลอง ได้แก่ หนูขาวและลิง จนสำเร็จในระดับห้องปฏิบัติการ พร้อมขยายผลการทดสอบวัคซีนในมนุษย์คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ทันทีที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอนุมัติให้ดำเนินการในขั้นต่อไปได้ ซึ่งคาดว่าจะได้วัคซีนที่ผลิตได้เองภายในประเทศช่วงกลางปี 2021 เป็นต้นไป

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของผลสัมฤทธิ์เชิงประจักษ์จากการบ่มเพาะสตาร์ทอัพจนเกิดเป็นนวัตกรรมขับเคลื่อนสังคมดูแลคนไทยโดยเฉพาะในยามยากจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สะท้อนวิสัยทัศน์ของมหาวิทยาลัยในศตวรรษที่ 2 ที่ว่า “Innovations for society”

ที่มา: ศูนย์กลางนวัตกรรมแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

         คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

         คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

         คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

รายละเอียดที่เกี่ยวข้อง:

อื่นๆ

“Chula-Cov19” วัคซีน mRNA สัญชาติไทยขยับเข้าใกล้ความสำเร็จ

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยตลอดช่วงสามปีที่ผ่านมาทำให้เราได้เห็นศักยภาพของ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย มีส่วนช่วยให้ประเทศไทยรับมือกับวิกฤติด้านสาธารณสุขระดับโลก

จุฬาฯ อวดสองนวัตกรรมคืนชีวิตใหม่ให้ปะการังไทย ผสมเทียมสำเร็จครั้งแรกของโลก พร้อมชูเครื่องพิมพ์ 3 มิติสร้างปะการังเทียม

แก้ปัญหาระบบนิเวศใต้ท้องทะเลเสื่อมโทรม ที่ส่งผลกระทบความหลากหลายทางชีวภาพของพืชและสัตว์ในระบบนิเวศใต้ท้องทะเลทั้งทางตรงและทางอ้อม

บางโพลีฟวิ่งแล็บ: โครงการสร้างแพลตฟอร์มการเรียนรู้ร่วมกับชุมชน ผ่านการวางแผนการอนุรักษ์และพัฒนาชุมชนถนนสายไม้บางโพ

คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดำเนินโครงการวิจัย Bang Pho Living Lab ได้รับทุนสนับสนุนจาก ศูนย์กลางนวัตกรรมทางสังคมแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ไม้ของชุมชนถนนสายไม้ ย่านบางโพให้กลับมาเป็นที่รู้จักและส่งเสริมการสืบทอดภูมิปัญญาของชุมชน ผ่านการสร้างพื้นที่ร่วมทดลองปฏิบัติการจริง โดยนิสิต 266 คน

เปิดเบื้องหลังความสำเร็จบนเส้นทางแห่งการพัฒนาวัคซีนจุฬาฯ

Chula VRC ก่อตั้งขึ้นในปี 2560 มีความมุ่งมั่นที่จะสร้างความเสมอภาคทางด้านวัคซีนให้เกิดขึ้นได้จริง ซึ่งถือเป็นภารกิจในระดับนานาชาติ โดยมีพันธกิจในการวิจัย และพัฒนาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ และมีความปลอดภัย ในราคาที่สามารถเข้าถึงได้ โดยเฉพาะในงานด้านการป้องกันโรคติดเชื้อและโรคไม่ติดเชื้อชนิดต่าง ๆ

ไอคอน PDPA

เราใช้คุกกี้เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของคุณ (ตั้งค่า)

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

Accept All
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • Necessary cookies
    เปิดใช้งานตลอด

    Necessary cookies are essential for the functioning of the website, allowing you to use and browse the site normally. You cannot disable these cookies in our website's system.

  • คุกกี้วิเคราะห์เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การใช้งาน

    คุกกี้เหล่านี้ใช้เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งานเว็บไซต์ เช่น จำนวนผู้เข้าชม, หน้าเว็บที่ได้รับความนิยม และพฤติกรรมการท่องเว็บ ซึ่งช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์ปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ได้

  • คุกกี้การทำงานเพื่อจดจำการตั้งค่าผู้ใช้

    คุกกี้เหล่านี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานเว็บไซต์ โดยจดจำการตั้งค่าที่ผู้ใช้เคยกำหนดไว้ เช่น ชื่อผู้ใช้, ภาษา, ภูมิภาค หรือการปรับแต่งเว็บไซต์ตามความต้องการ

Save